วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

บทความที่เกี่ยวกับการเขียนต่างๆ (บทความประเภทให้แง่คิด)

บทความประเภทให้แง่คิด

นรกและสวรรค์

ในนิทานเรื่องหนึ่งของชาวเดนมาร์ก
มีคนคนหนึ่งนอนอยู่ในเวลากลางคืน  มีนางฟ้าลงมาที่ห้องนอนของเขา  ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก เขาก็ไป  นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่งบอกว่า "ถึงนรกแล้ว"
ที่นั้นเป็นห้องใหญ่ๆ มีโต๊ะยาวๆ  บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีต อร่อยทุกประเภท  มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าก็บอกว่า "นี่สัตว์นรก"  คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก
แต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร
นางฟ้าบอกว่าที่นี่ อนุญาตให้กินอาหารดีๆ ได้  แต่มีเงื่อนไขว่าต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตร  เวลาตักอาหารเข้าปาก มันก็ไม่ถึงสักที มันหกลงพื้น  เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก  พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก  เลยผอมเพราะอดอาหาร  อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อยแต่ไม่สามารถเอามาถึงปากของตน
นางฟ้าพาไปอีกห้อง บอกว่านี่สวรรค์  ห้องที่สองนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ  เรามักจะคิดว่าสวรรค์กับนรกต่างกัน  แต่ความจริงสวรรค์กับนรกนี้คล้ายๆ กัน
มีโต๊ะอาหารยาวๆ อาหารประณีตหลายๆ อย่างเหมือนกันหมด  มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่ง แต่แปลกที่คนที่สวรรค์ยิ้มแย้มแจ่มใส  อ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย ดูว่าเขากินอย่างไร  เขาก็ต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรเหมือนกัน
"
เอทำไมมันไม่เหมือนที่นรก?"  พอดูดีๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์คือ  คนข้างหนึ่งของโต๊ะเขาตักอาหารด้วยช้อนยาวๆ  เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม  คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้  ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย  สรุปว่า ที่นรก คนคิดแต่จะได้อย่างเดียว  คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง  คิดแต่ว่าเราจะได้อาหารที่เราชอบ  แต่ที่สวรรค์นั้น มีการช่วยเหลือกัน
มีความรักสามัคคีกัน คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย  ก็ได้รับความสุขกันทุกคน



เขียนไว้บนผืนทรา

มีคน 2 คนเป็นเพื่อนกัน...
ต่างร่วมเดินทางไปในทะเลทราย...  ระหว่างทาง...เกิดโต้เถียงขัดแย้ง ไม่เข้าใจกัน
เพื่อนคนหนึ่ง...พลั้งลงมือ...ตบหน้าอีกฝ่าย  คนถูกทำร้าย...เจ็บปวด...แต่ไม่เอ่ยวาจา...
กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า "วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า"  พวกเขายังคงเดินทางต่อ...กระทั่งถึงแหล่งน้ำ  พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำ...ชำระกาย...พลันคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ...  เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ...เข้าช่วยชีวิต
คนรอดตาย...ยังคงไม่เอ่ยวาจา...กลับสลักลงไปบนหินใหญ่...
"
วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้"  อีกคนไม่เข้าใจ...ถามว่า...
"
เมื่อถูกฉันตบหน้า...เธอเขียนลงทราย...
แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบนหิน"  อีกคนยิ้มพราย...กล่าวตอบ
"
เมื่อถูกเพื่อนรักทำร้าย...เราควรเขียนมันไว้บนทราย  ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบล้างไม่เหลือ
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย...บังเกิด
เราควรสลักไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ...
ซึ่งจะไม่มีสายลมแรงเพียงใด... ลบล้างทำลาย...."
เป็นแง่คิดที่ดีนะครับ  ปล่อยสายลมแห่งการให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบล้างไม่เหลือ



ความล้มเหลว

ความล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่า คุณคือคนที่ล้มเหลว  แต่มันหมายถึง คุณไม่ประสบความสำเร็จต่างหาก  ความล้มเหลวไม่ได้หมายความว่า คุณจะไม่ประสบผลสำเร็จในสิ่งใดเลย
แต่มันหมายถึง คุณได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเพิ่มขึ้น  ความล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่า คุณคือคนโง่  แต่มันหมายถึง คุณมีความซื่อสัตย์มากเกินไปต่างหาก  ความล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่า คุณขาดความสง่างาม  แต่มันหมายถึง คุณกำลังยินดีในความพยายามต่างหาก  ความล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่า คุณไม่ได้มีมัน  แต่มันหมายถึง คุณไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง
ความล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่า คุณได้สูญเสียชีวิตไปแล้ว  แต่มันหมายถึง คุณมีเหตุผลที่จะเริ่มใหม่อีกไหม  ความล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่า คุณจะล้มเลิก  แต่มันหมายถึง คุณต้องพยายามให้หนักกว่าเก่า  ความล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่า คุณจะไม่ทำมันอีก  แต่มันหมายถึง คุณต้องใช้เวลามากกว่าเก่าอีกเล็กน้อย  ความล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าไม่แยแสคุณ  แต่มันหมายถึง พระเจ้าพระเจ้ามีหนทางที่ดีกว่าสำหรับคุณต่างหาก





สิ่งที่อยู่ใกล้ มักไม่มีคุณค่า

สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด มักเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุด

สิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน
เราก้อคิดอยู่ว่าเราก้อต้องเห็นอยู่แบบนั้นต่อไป
ไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้มันสำคัญ ไม่เคยเห็นแม้แต่ค่า

เหมือนกับการที่เราเห็นหน้าใครอยู่ทุกวัน
คนๆ นั้นวิ่งตามเราอยู่ทุกวัน ใส่ใจเราอยู่ทุกวัน
เราก้อมักจะเห็นแค่ว่า ใครคนนึงกำลังทำอะไรที่ดูงี่เง่า น่ารำคาญ

จนวันนึงถ้าเราสูญเสียไป เราก้ออาจจะรู้สึกเสียใจบ้าง
เราอาจจะต้องการเรียกร้องให้กลับมาเหมือนเดิม

หรือบางทีเราก้ออาจจะรู้สึกว่า ดีใจที่ได้มีชีวิตที่ปราศจากความรำคาญ
แต่จะมีใคร ที่เคยรู้สึกถึงความรู้สึกของคนที่ให้อยู่บ้าง

บางทีสิ่งที่เขาทำอยู่ อาจไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณรำคาญ
แต่เขาทำไปเพราะเขารักคุณจริงๆ
เหมือนความรักของพ่อแม่ เหมือนความรักของเพื่อนสนิทของคุณ
เหมือนความรักของใครอีกหลายคนที่ให้คุณด้วยความจริงใจ

คุณเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญบ้างไหม
คุณเคยคิดว่าคุณดูแลพวกเขาดีพอรึยัง
คุณให้ความสำคัญกับคนถูกหรือเปล่า
คุณให้ความสำคัญกับคนที่ให้วัตถุคุณ มากกว่าความรู้สึกที่ดีหรือเปล่า

สิ่งที่สำคัญมักมองไม่เห็นด้วยตา
แต่ต้องมองด้วยหัวใจ

แต่เรามักไม่มีเวลาพอที่จะใช้หัวใจมอง
เรามองอะไรแค่ฉาบฉวยแล้วก็ตัดสิน
เรามองดูความรวย ความจนของคนที่สิ่งของที่เขาใช้
เรามองความดีของคน ตรงที่เขาแสดงให้เราเห็น
เรามองอะไรหลายอย่างด้วยตา
แล้วเราก้อตัดสินคนเพียงแค่เวลาไม่เกิน 5 นาที

เราต้องสูญเสียมิตรที่ดีไป เพียงเพราะเราอ้างว่าไม่มีเวลา

เราไม่มีเวลา ก็ต่อเมื่อเราไม่สนใจ
เราไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้น ต่อคนๆนั้น

แต่ถ้าลองมองย้อนดู
ทำไมเราถึงมีเวลาทำอะไรมากมายหลายอย่างในแต่ละวัน

เพราะเราให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ

ทำไมคุณไม่ลองให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณลืมไป
กับคนที่หวังดีกับคุณ แต่คุณไม่เคยมอง

อย่าปล่อยให้มิตรภาพดีๆ ต้องมีรอยร้าว
เพราะเมื่อวันนึงถ้าต่างคนต่างไป

เราจะได้จากกันด้วยความรู้สึกที่ดี
เราจะได้ไม่รู้สึกผิดว่า
เรายังทำดีกับเขาไม่เพียงพอ



กล่องของแม่

แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย
หนักมั๊ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้วกัน
ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่องเก่าๆ นั้นจากมือแม่แต่ไม่สำเร็จ
แม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัด ระวัง
ส่วนมือประคองกล่องที่ว่าไว้อย่างมั่นคง
วันสุดท้ายแล้ว ที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉัน
เมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุขมาก
สุขที่แม่เข้าใจความจำเป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่น
แน่นอน ตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่ ทุกคนจะมีความสุข
เพราะเป็นสถานที่สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความต้องการ ความคิดอ่าน
และอะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกันมาไว้ใต้ชายคาเดียวกัน
มันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง! ทฤษฎีของการแยกประเภท
แยกโลกออกจากกันให้ชัดเจนเพื่อลดความขัดแย้ง
ในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่นนี้
"ไปก็ไปซี ว่าแต่แกจะกินอยู่ยังไงล่ะแม่ตอบง่ายๆ
หลังจากฟังลูกสาวคนเล็กพูดวกวนอยู่เป็นนานสองนาน
ใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วงฉัน จะอยู่จะกินยังไงต่อไป
แม่อย่าห่วงเลย อิ๋วโตแล้วฉันตอบแม่อย่างเด็ดเดี่ยวบ้าง
นับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตปกติเพื่อรอวัน ย้ายบ้าน
แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่อย่างที่ฉันคิดไว้
แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหงอยอย่างที่พวกเราพี่ๆ น้องๆ กลัวกัน
และแม่ไม่ได้พูดจาโต้แย้งกับฉันเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เคยเป็นมา
พวกพี่ๆ และบรรดาสะใภ้ กับเขยทั้งหลายเสียอีกที่รุมถล่มฉันอยู่หลายวัน
แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กีปี อิ๋วก็ไม่น่าจะต้องผลักไสแกไป อย่างนั้น
นี่พี่สาวคนโต คนแก่ก็ยังงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้าง จะอะไรกันนักหนา
ชั่วดีก็แม่เราจะส่งแกไปทำไมกัน แถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮม
ที่ไปหามาก็ราคาแพงเป็นบ้าส่วนนี่ก็พี่เขยจอมตืด
แม่คงเสียใจพิลึก แกลองไปคิดดูใหม่ดีๆ แล้วกัน ว่าจะส่งแม่ไปจริงเหรอ
แกก็หัดใจเย็นๆ ลงมั่งซี ลูกผัวก็ไม่มีแม่คนเดียวก็ดูไม่ได้ แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้
เออ..เอาเข้าไปได้พวกดีแต่พูด พูดกันดีนัก
แต่ไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีแม่ซักคน นอกจากฉัน!
ก็ไอ้ที่ไม่มีลูกมีผัวทุกวันนี้ ก็เพราะแม่นั่นแหละ
วันๆ เวลาที่เหลือจากการทำงานต้องอุทิศ ให้แม่ไปจนหมดแล้ว
จะไปพักร้อนยาวๆ ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมมาดูแม่ให้
พวกปากดีที่ว่าตำหนิฉันนั้นแหละตัวดีนักละ
วันหยุดยาวทีไรต่างก็เผ่นกันไปพักร้อนยังกะผึ้งแตกรัง
โอ๊ย! ไม่ได้หรอกฉันจองโรงแรมไว้แล้ว แกไว้ไป คราวหน้าซี
เอาเถอะน่าแล้วจะซื้อของมาฝากอ๊วกจะแตก ใครอยากได้ของฝากพรรค์นั้น
ขนมหม้อแกง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง ลูกหยี กล้วยฉาบ และของบ้าๆ บอๆ อีกเป็นพะเรอ
แม่ก็ไม่กิน ฉันก็ไม่กิน เดือดร้อนต้องขนไปแจกต่ออีกต่างหาก
ทุเรศ! แล้วฉันจะไปพึ่งใครได้ ไม่มีคำว่าพักร้อน ไม่มีวันหยุดยาวอย่างใครๆ เขา
ไม่มีงานเลี้ยงตอนค่ำ ไม่มีงานวันเกิดเพื่อน หรืองานสนุกอะไรทั้งนั้น
สรุปแล้วฉันจะหาโอกาสที่ไหนไปมีแฟนล่ะ
เลยกลายเป็น ลูกเหลือขออยู่คนเดียวในบ้าน นี่แหละ
ลูกสาวสามคนในบ้านมีคนมา ขอไปหมด ยกเว้นคนสุดท้องอย่างฉัน
ใครจะมาซาบซึ้งกับความเป็น ลูกเหลือขอได้ดีเท่าฉัน
ใช่ว่าฉันจะสวยน้อยกว่าพี่อ้อย พี่แอ๊ว และพี่อ๋อม
และใช่ว่าความรู้จะด้อยกว่าพี่คนอื่นๆ เพียงแต่แม่พวกนั้นมันเกิดก่อน
เลยได้โอกาสตัดช่องน้อยแต่งงานกันไปหมดแล้ว
ฉันเลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่พลาดเก้าอี้ดนตรีไปซะฉิบ
ตกที่นั่งต้องมานั่งเลี้ยงแม่ ทนฟังแม่บ่น และคอยเถียงกับแม่ในทุกเรื่อง
ตั้งแต่เรื่องเสื้อตัวใหม่ ผมทรงใหม่ อาหารเย็นของแม่แต่ละวัน
และวันที่แม่ต้องไปไหว้เจ้าตามวัดต่างๆ ก็ไม่รู้เป็นไง
ให้ตายเถอะ มันเหมือนแกล้ง แม่จำเพราะต้องไปไหว้พระไหว้เจ้า
เอาวันที่ฉันอยากออกไปช็อปปิ้ง หรือมีนัดกับใครต่อใครซะทุกทีซีน่า
แม่ไปวันอื่นไม่ได้เหรอ วันนี้อิ๋วจะไปดูหนังกับเพื่อน
แต่แม่ไม่เคยแยแสท่าทางกระฟัดกระเฟียดและเสียงสะบัดของฉันเลย
วันนี้เป็นวันดี วันเทวดาลงมาจากสวรรค์ วันอื่นไปไม่ได้
หรือไม่ก็วันนี้วันพระใหญ่ ปีนึงมีไม่กี่วันเอง ไม่ไปไหว้ได้ไง
โอ๊ย! จะบ้าว่ะอยากขว้างแก้วขว้างจานให้มันสาแก่ใจนัก
ไอ้เรื่องไหว้พระไหว้เจ้าของแม่นี่ยังถือเป็นวาระจรนะ
นอกเหนือจากพวกเจ้าประจำคือ ไปหาหมอทุกเดือน และซื้อยา
ส่วนที่เป็นกรณีฉุกเฉินพิเศษก็ชักบ่อยจนกลายเป็นเจ้าจำนำกันไป
คือเดี๋ยวหวัดเล่นงาน เดี๋ยวท้องเสีย วันดีคืนดีก็หกล้มหกลุก
ให้อารมณ์เสียระหว่างทำงาน
ก็จะไม่อารมณ์เสียได้ไง ฉันเป็นพนักงานคนเดียวในบริษัทที่ต้องขาดงาน
หรือมีอันต้องมีเหตุให้เผ่นกลับบ้านด่วนจี๋กลางคันบ่อยที่สุด
จนแค่เดินเข้าไป หาเจ้านายโดยไม่ต้องอ้าปากพูด
นายก็โบกมือไล่อนุญาตแล้ว ฉันเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่า
คงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่ง
หรือเงินเดือนขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างคนอื่นๆ หรอก
จนกว่าแม่จะตาย! แล้วเมื่อไหร่ล่ะแม่ถึงจะตาย
ฉันอาจจะตายก่อนแม่ก็ได้ใครจะรู้!! 
แม่ขึ้นรถเรียบร้อยพร้อมเอากล่องของแม่วางบนตัก
โดยไม่ยอมให้ฉันเอาไปวางไว้เบาะหลัง
พอพ้นซอยเท่านั้นแหละ รถติดเป็นแพเต็มถนน
ฟ้าที่ดำทะมึนตั้งกะเช้าก็สำแดงอาการทันที กลายเป็นฝนตกลงมาห่าใหญ่
โดยไม่ต้องมีอารัมภบท มันดูน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับอาการฝนตกรถติด
แม่หนาวมั๊ย จะได้หรี่แอร์แต่แเม่สั่นหน้า
ตั้งแต่ออกจากบ้านแม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย
แม่เอาของมาน้อยจังในเมื่อแม่ไม่พูดฉันเลยต้องพูดไม่งั้นคงเครียดเป็นบ้า
กับประโยคนี้ของฉันแม่เริ่มพูดขึ้นมาได้
ที่เอามานี่ก็ทั้งชีวิตแล้ว อย่างอื่นไม่รู้จะเอาไปทำไม มันไม่จำเป็น
เสื้อสองชุด รองเท้าแตะคู่ก็พอ เอาไปมากเดี๋ยว โดนขโมยน่ะซี
ฉันลอบถอนใจ ยังดีที่แม่คุยขึ้นมาบ้าง
แม้จะเป็นการพูดแบบมองโลกในแง่ลบไปหน่อยก็ตาม
แม่ก็ยังงี้แหละ กลัวของหาย กลัวคนมาขโมยของของตัว
บางทีโวยวายแทบตาย ปรากฎว่าของที่ว่าหายนั้นอยู่ในลิ้นชักของตัวเองแท้ๆ 
รถบนถนนขยับได้ทีละนิดสลับกับอาการหยุดนิ่งอยู่กับที่ทีละนานๆ
ฝนบนฟ้าก็เทลงมายังกะเทวดากำสรวล ฉันมองดูกล่องบนตักแม่
ที่แม่ใช้ใส่ของไปบ้านใหม่ มันเป็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลเก่าแก่ด้วยกาลเวลา
กล่องแบบนี้เดี๋ยวนี้เขาคงเลิกผลิตแล้ว
และผงซักฟอกยี่ห้อนั้น ก็เลิกผลิตไปนานหลายปีแล้ว
ยิ่งดูจากวันเดือนปีที่ผลิตตรง ข้างกล่องยิ่งเห็นว่ามันเก่าเชียว
ลังผงซักฟอกของแม่จะว่าไปจริงๆ ขนาดกำลังพอดี
เพราะพอวางบนตักแล้วขนาดพอดีกับตักแม่เลย
มีรอยปะตามวิธีการของแม่อยู่หลายแห่ง
รวมทั้งเชือกฟางสีชมพูหม่น ที่แม่ใช้รัดรอบกล่องหลายทบ เพื่อเสริมความแข็งแรง
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแม่ไม่เปลี่ยนกล่องใหม่ ทั้งที่เราก็มีกล่องแบบนี้หลายใบอยู่
วันนี้แม่ประคองกล่องของแม่อย่างเบามือ
มันดูน่าขันยังกะพวกบ้านนอกเวลาจะกลับบ้าน
วันก่อนฉันเอากระเป๋าใบเก่งของฉันให้แม่ แต่แม่ไม่เอา
ไม่เอา ย้ายไม่ได้ ย้ายแล้วเดี๋ยวมันสับสนกันหมด เอาไว้ใน กล่องน่ะดีแล้ว
ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นแม่ลากเจ้ากล่องใบนี้เข้าๆ ออกๆ อยู่หลายหน
แต่ไม่มีใครเคยถามแม่ซักทีว่ามีอะไรในนั้น
พวกเรามักเรียกว่า กล่องของแม่ก็เท่านั้น
และเป็นอันรู้กันว่าห้ามย้าย ห้ามรื้อกล่องของแม่เป็นอันขาด
มีอะไรในกล่องมั่งล่ะไหนๆ แม่จะไม่อยู่แล้ว
ฉันเลยถามขึ้นว่า แม่มีอาการกระตือรือร้นเชียวเวลาพูดถึงกล่องของแม่
แม่รีบดึงเชือกฟางสีชมพูที่ผูกบนกล่องออกมาอย่างเบามือ
แล้วเริ่มหยิบของในนั้นออกมาให้ดู
มีแต่ข้าวของเกี่ยวกับพวกแกทั้งนั้นแหละ บนๆ นี่ก็รูปพวกหลานทั้งหลาย
ล่างๆ ก็จะเป็นรูปพวกแกแม่หยิบสมุดอัลบั้มใส่รูปขึ้นมาหนึ่งเล่ม
แล้วเปิดดูทีละหน้า พร้อมกันยิ้มกว้าง
นี่ตาเอกตอนเกิดใหม่ๆ ตัวมันแดงเชียว หน้าเหมือนแม่มัน ยังกะแกะ
พอโตแล้วซนเป็นบ้า ยายมันเลี้ยงซะเสียคน
นี่ก็เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแม่ คือมีช่องว่างเป็นต้องจิก ลูกสะใภ้ และครอบครัว
แม่ยังหยิบโน่นหยิบนี่ออกมาอย่างช้าๆ
พวกรูปทั้งนั้นแหละ มีทั้งรูปลูกชาย ลูกสาว หลานยาย หลานย่า
รูปวันแต่งงาน รูปรับปริญญา รูปเด็กเกิดใหม่
รูปที่พวกลูกๆ หลานๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน แม่เก็บไว้ยังกะของมีค่า
แล้วก็มาถึงบรรดากระดาษรุ่งริ่ง กระดาษพวกนั้นบางและเก่าจนแทบจะกระจาย
เมื่อโดนลมจากเครื่องปรับอากาศหน้ารถ
อุ๊ย! อะไรน่ะฉันรีบปัดหน้ากากเครื่องทำความเย็นให้พ้นหน้าตักแม่
ก่อนที่กระดาษคร่ำคร่าพวกนั้นจะร่วงปลิวไปตามแรงลม
วันเกิดพวกแกกับพวกหลานๆ ไง ฉันเก็บไว้ทุกคนแหละ
ไม่ยังงั้นเวลาไหว้พระจำไม่ได้ว่าเกิดกันเมื่อไหร่
เรามันครอบครัวใหญ่ จำไม่หมด นี่..นี่..แผ่นนี้วันเกิดตาอึ่ง
ตอนมีลูกคนแรกมันสับสนวุ่นวายไปหมด
ทีแรกไม่รู้จะจดวันเกิดลูกยังไงดี แต่ยายน่ะซีรีบฉีกปฏิทินออกมายัดใส่มือ
บอกว่า เอ้า! วันเกิดลูกเก็บไว้ซะ
ตั้งกะนั้นมาพอใคร เกิดฉันก็ฉีกวันที่เก็บไว้ทุกที ฉันมันคนไม่รู้หนังสือ
ไม่เหมือนพวกแกหรอก มีคอมพิวเตอร์มีอะไรกัน
แต่ไม่เห็นมีใครจำวันเกิดแม่ได้ซักคน วันตายพ่อยังไม่รู้เลย
ฉันต้องนั่งไหว้อยู่คนเดียวทุกปีน้ำเสียงของแม่ไม่มีอาการน้อยใจ หรือเสียใจ
อาจเพราะแม่กำลังชื่นชมของที่เก็บไว้ในกล่องอยู่ก็ได้
ปฏิทินที่แม่ว่านั้นเป็นกระดาษสีนวลบางๆ ใบใหญ่บ้างเล็กบ้าง
ตามแต่ว่าปีไหนเขาจะผลิตปฏิทินออกมา ขนาดไหน
ตอนเด็กๆ อาเจ๊ร้านขายของชำแถวบ้านจะเอามาแจกให้ทุกปี
พอเขาเลิกแจกแม่ต้องไปซื้อที่ตลาดเก่า เยาวราชนู่นแหละ
ตอนหลัง พี่อึ่งเป็นคนเอามาให้ทุกปี เพราะที่บ้านเขามีคนเอามาให้
แต่เขาไม่แขวนเพราะเชย มันเป็นปฏิทินทางจันทรคติที่แยกวันที่ออกเป็นวันละหนึ่งแผ่น
ตัวเลขวันที่พิมพ์ตัวโตสีดำเด่นอยู่กลางหน้ากระดาษ
ถ้าเป็นวันหยุดตัวเลขจะเป็นสีแดงแทน พวกเราทุกคนคุ้นกับปฏิทินของแม่ดี
เพราะแม่สอนพวกเราทุกคนหัดอ่าน หนึ่ง สอง สาม จากปฏิทินพวกนี้แหละ
พี่อั๋นนั้นโดนแม่ตีมือมากที่สุด เพราะอ่านไปฉีกเล่นไป
อย่าฉีก เดี๋ยวแม่ไหว้เจ้าไม่ถูกแม่จะหวงปฏิทินมาก
เพราะบนกระดาษแต่ละใบนั้น นอกจากวันที่ตัวมหึมาเห็นเด่นชัด
โดยไม่ต้องใส่แว่นแล้ว ยังมีคำทำนายสั้นๆ อยู่ด้วย
สำหรับคนเกิดในวันนั้น และมีฤกษ์ผานาทีกำกับไว้ว่าวันนั้นควรทำการมงคล
หรือไม่ควร ทำอะไร และที่สำคัญใบ้หวย...แม่น!
ลูกแปดคน ก็มีแต่แกนี่แหละที่เล่นเอาฉันไม่เป็นอัน กินอันนอน
อ้าว! ทำไมล่ะเออ นี่เป็นความรู้ใหม่ทีเดียวสำหรับฉัน
ตอนแกเกิดในปฏิทินเขาเขียนไว้ว่า ชะตาไม่ดี เลี้ยงยาก
ไอ้ฉันเลยร้องไห้ซะเป็นวรรคเป็นเวร
พ่อแกเค้า หาว่าบ้า เฮ้อ! จริงไม่จริงคนเป็นแม่ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนน่ะแหละ
ของมันอยู่ในท้องมาตั้งเก้าเดือน ใครไม่รักไม่หวงก็บ้าแล้ว
ผู้ชายจะมารู้อะไร เค้าไม่ได้มาอุ้มท้องแบบเรานี่
พูดถึงพ่อแล้วแม่อดค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อว่า
พอออกจากโรงพยาบาลอยู่เดือนยังไม่ครบดี ฉันก็รีบไปไหว้เจ้าเลย ย่าแกด่าซะไม่มีดี
เค้าห่วงกลัวเราไม่สบายได้ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ เลยเสียอกเสียใจยกใหญ่
พอไปไหว้เจ้า เสี่ยงเซียมซีก็พูดเหมือนกัน
เค้าว่าแกเลี้ยงยาก เพราะดวงมันมายังงั้น
แต่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต เฮ้อ! ไอ้ฉันน่ะเลี้ยงแกมาชนิดไม่ยอมให้ใครอุ้มเลย
กลัวพี่เอาไปทำแข้งขาหัก ไปโรงเรียนก็จุดธูปทุกเช้าให้แคล้วคลาด
เวลาไปไหนๆ ก็ต้องบนพระทุกที่ให้แกไปดีมาดี กว่าจะโตมาได้ เฮ้อ!
แม่ถอนใจอยู่หลายครั้งกว่าจะพูดจบได้ ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่
นอกจากเสียงฝน และเสียงเครื่องปรับอากาศในรถแล้ว
มันเงียบจนฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนซักแห่งในโลก
ที่ไม่ใช่บนถนนมีรถติดเป็นแพอย่างนี้
แกจะเอาฉันย้ายไปอยู่ไอ้เนิร์สซิ่งโฮมของแก ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก
คนแก่แล้วมีที่นอน มีข้าวกินสามมื้อก็พอ ห่วงก็แต่แกน่ะแหละ
อีกไม่กี่ปีจะสามสิบห้าอยู่แล้ว ต้องระวังตัวให้ดี
อย่าลืมไปทำบุญไหว้พระซะ จะได้อายุมั่นขวัญยืน
ถ้าฉันยังอยู่กะแก ก็จะได้ไปจัดการให้ แต่ต่อไปแกต้องทำเองแล้ว
ค่ำมืดดึกดื่นเข้าบ้านออกบ้านต้องระวังหน่อย
แม่พูดพร้อมกับที่ค่อยๆ เรียงกระดาษ และรูปทั้งหมดลงไปในกล่องของแม่อย่างเดิม
ไอ้กล่องนี่ไม่ได้เปลี่ยนเลยนะ ตั้งกะมีลูกคนแรก มีอะไร ฉันก็เรียงลงไปเรื่อยๆ
หลายสิบปีแล้วแต่มันยังกะคอมพิวเตอร์ พวกแกเลยนะ แถมแม่นไม่มีอะไรเท่า
พวกแกซะอีกหลงๆ ลืมๆ
ฉันไม่เคยรู้เลยว่า กล่องของแม่จะบันทึกชีวิตของครอบครัวเราไว้ได้มากขนาดนี้
มิน่าแม่จะจำวันสำคัญของพวกเราได้แม่นอย่างไม่น่าเชื่อ
จนพวกเราแอบเรียกแม่ว่า สมองคอมพิวเตอร์
ที่แท้แม่มีทีเด็ดตรงกล่องนี่เอง เห็นแม่ลากออกมาดูบ่อยๆ แล้วเก็บไว้อย่างดีทุกที
ฉันคงนั่งนิ่งไปนานถ้าแม่ไม่พูดขึ้นว่า
แกก็อย่าไปคิดอะไรมากเลย ฉันรู้ว่าพวกพี่ๆ เค้าเอาภาระมาใส่แกมากเกี่ยวกับตัวฉัน
แต่คนเดี๋ยวนี้มันก็ภาระแยะ ไหนจะส่งลูกไปโรงเรียน ไหนจะเอาลูกไปสอบ
ไปวิ่งเต้นเรื่องนั้น เรื่องนี้ ผัวมันยังต้องไปตีกอล์ฟอีก
แม่พวกสะใภ้ก็ต้องวิ่งกลับไปดูพ่อแม่เค้า อะไรๆ ฉันก็รู้
แต่ทำไงได้ล่ะ คนมันยังไม่ถึงคราวตาย มันก็ต้องอยู่ไปยังงี้แหละ
ใช่ว่าอยากตายก็จะได้ตายซะที่ไหน
แก่แล้วลำบาก ไปไหนต้องอาศัยคนอื่น ทำอะไรก็ต้องออกปากไหว้วานคนนั้นคนนี้
มันเหมือนต้องตากหน้าไปอ้อนวอนเค้า
ไอ้ที่เคยคล่องๆ ก็กลายมาเป็นภาระ
ความจริง ไอ้ที่แกไม่มีผัวฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกัน
บางทีถ้าไม่มีภาระเรื่องแม่ แกอาจจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที
เงาดำในใจฉันเริ่มคลี่ขจายออกกลายเป็นเพียงหมอกบางๆ
ฉันแหงนหน้าไปดูท้องฟ้านอกรถ ฝนเริ่มบางตา
แสงสว่างสามารถส่องผ่านเมฆมาได้บ้าง
แกอย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่า
ไอ้ที่ฉันจะไปอยู่มันคงดี เพราะราคามันแพง
จะมีคนแก่ซักกี่คนที่ได้ไปอยู่ที่แพงๆ อย่างนั้น
ห่วงตัวเองเถอะ ถ้าเจอคนดีพอใช้ได้ก็อย่าเลือกมากมายรีบแต่งงาน
รีบมีลูก แก่แล้วจะได้ไม่ลำบาก
ดูอย่างชั้นซี อย่างน้อยถึงลูกไม่มีเวลาให้ก็ยังมีคนส่งเงินมาให้ใช้
ถ้าไม่มีลูกจะยิ่งลำบากมากกว่านี้
ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เงียบกันไปพักหนึ่ง
ฉันบอกแม่ว่า อิ๋วจะไปหาแม่บ่อยๆ
อย่าพูดยังงั้นเลย เดี๋ยวนี้การจราจรมันสาหัสเหลือเกิน
เวลาก็ไม่ค่อยมี เรื่องต้องทำก็มีแยะไปหมด เอาเป็นว่าว่างก็มาแล้วกัน
แต่ถึงพวกแกไม่มาฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอก
ชีวิตทั้งชีวิตของชั้นอยู่ในนี้หมดแล้ว
อยากเห็นหน้าลูกก็ดูเอาในนี้ อยากเห็นหน้าหลานก็ดูเอาในนี้
ไม่ต้องมานั่งคอยให้เสียเวลา เปิดกล่องของแม่มาก็เห็นหน้าพวกแกได้ทันที
แม่ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อกอดกล่องให้กระชับขึ้น
รถบนถนนเริ่ม เคลื่อนตัวช้าๆ พร้อมกันฝนที่ขาดเม็ด
อีกไม่กี่เมตรจะถึงสี่แยกแล้ว และมีป้ายให้กลับรถได้
ฉันพารถเบียดเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถ
แม้รถคันอื่นจะบีบแตรด่ากันเสียงขรม แต่ฉันไม่สนใจ
ฉันกำลังนึกถึงตัวเองตอนแก่ และมีกล่องอย่างแม่สักใบ
คงดีไม่น้อยที่จะได้อวดลูกๆ ของฉันถึง กล่องของแม่



ข้อคิดดี ๆ จากรอยตะปู

มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดีพ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา 1 ถุง
และบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใครก็ตาม 
ให้ตอกตะปู 1 ตัว ลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน วันแรกผ่านไป
เด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 
และแต่ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง ลดลงๆ 
เพราะเด็กน้อยรู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ

แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นใจเย็นมากขึ้น 
เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่ต้องตอกตะปูอีกแล้ว 
เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์ให้พ่อดู 
ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว 
วันแล้ววันเล่า เด็กชายก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด 
วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า 
ผมทำได้แล้วครับ ในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ

พ่อไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอกลูกทำได้ดีมาก
ทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิม
มันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้ ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำอะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ 
สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการเอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า 
ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ...สักกี่หน ก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้ 
ลูกจงจำคำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะ
จำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขา เขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไป

สิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่า
เราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่น
วางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์
ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือฐิทิมานะมาทำลาย
ทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง

ขอบคุณบทความดีๆจาก duangkaew-dkf.blogspot.com










บทความที่เกี่ยวกับการเขียนต่างๆ (บทความวิชาการ)

บทความวิชาการ

การจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
Management of Basic Educational Institutes
under Educational Service Area Office

เยาวลักษณ์สุนนนามและผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.นิรมิตคุณานุวัฒน์ดร.ภวนาเผ่าน้อย
หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาการบริหารการศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

บทคัดย่อ
                การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 4 ในเขตอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาจำแนกตามเพศอายุ ระดับการศึกษาและประสบการณ์การสอนการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยวิธีการสำรวจระดับปฏิบัติงาน การจัดการศึกษาของประชากรซึ่งประกอบด้วยบุคลากรครูของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 55 แห่งจำนวน 643 คน และใช้หลักการทาโรยามาเนที่ค่าความคาดเคลื่อนร้อยละ 5 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 247 คนการสุ่มกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้สัดส่วนและการจับสลากโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติคือค่าความถี่ร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าทดสอบทีการวิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดียวและเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วย LSD (Least Significant Difference)
                ผลการวิจัยพบว่าการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
นครราชสีมาเขต 4 ในเขตอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาในภาพรวมมีระดับการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด 1 ข้อคือด้านการบริหารงานทั่วไปและอยู่ในระดับมากจำนวน 3 ข้อโดยเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ลำดับที่ 1 คือด้านงบประมาณลำดับที่ 2 คือด้านบุคคลและลำดับสุดท้ายคือ ด้านวิชาการการทดสอบสมมติฐานพบว่าบุคลากรครูที่มีเพศแตกต่างกันมีระดับการปฏิบัติงานด้านวิชาการแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่นไม่แตกต่างกันบุคลากรครูที่มีอายุและประสบการณ์การสอนแตกต่างกันมีระดับการปฏิบัติงานทั้ง 4 ด้านคือด้านวิชาการด้านบุคคลด้านงบประมาณและด้านการบริหารงานทั่วไปไม่แตกต่างกันและบุคลากรครูที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกันระดับการปฏิบัติงานทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านวิชาการ ด้านบุคคลด้านงบประมาณและด้านการบริหารงานทั่วไปแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05
คำสำคัญ: การจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน / สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา


บทนำ
                ยุคโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจสังคมเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดปัญหา และปัญหาที่เกิดขึ้นก็มีความสลับซับซ้อนมีความละเอียดอ่อน และมีความหลากหลาย ซึ่งแต่ละท้องถิ่นปัญหาเดียวกัน แต่ผลกระทบของปัญหาอาจจะไม่เท่ากัน ท่ามกลางวิกฤตปัญหาต่างๆประเทศไทยได้มีความพยายามจะแก้ปัญหาของชาติด้วยการปฏิรูปการศึกษาหลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จระบบการศึกษาไทยล้าสมัยไม่สร้างพลังทางปัญญาให้คนไทยเต็มศักยภาพของคนเป็นเหตุให้ชาติอ่อนแอทางปัญญา และเป็นระบบการศึกษาที่ก่อความทุกข์ยากให้แก่ผู้คนทั้งประเทศจนกระทั่งมีการลี้ภัยทางการศึกษา คือการที่มีคนที่มีความสามารถส่งลูกหลานของตนไปศึกษาที่อื่นที่เชื่อว่าเป็นการศึกษาที่ดีกว่าในประเทศทำไมเราไม่สร้างระบบการศึกษาที่ดีทัดเทียม หรือดีกว่าการศึกษาที่มีอยู่ในต่างประเทศนี่คือโจทย์ใหญ่ที่สุดที่คนไทยทุกคนต้องร่วมกันตีให้แตก และทำให้ได้ถ้าเราไม่ปฏิรูปหรือปฏิวัติการศึกษาไทยคนไทยจะไม่พ้น จากความทุกข์ยากและวิกฤตการณ์นานาประการที่จะทับถมมากขึ้นทั้งเศรษฐกิจการเมืองสังคมสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและจิตวิญญาณ (ธีระรุญเจริญ, 2545, หน้า 8)
                การดำเนินการปฏิรูปการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ผ่านมา การจัดการศึกษายังรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์ส่วนกลางอย่างสูง (Highly Centralized Bureaucracy)  ตามระบบการบริหารราชการแผ่นดินปัจจุบันโรงเรียนเป็นนิติบุคคล แต่แท้ที่จริงแล้วการปฏิบัติงานในโรงเรียนยังต้องบริหารจัดการศึกษาตามคำสั่งกระทรวงโรงเรียนไม่สามารถสร้างแผนยุทธศาสตร์ ที่จากความต้องการของชุมชนได้ปัญหาอุปสรรคของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 4 ที่จะต้องดำเนินการแก้ไขโดยจำแนกเป็นด้านต่างๆได้ดังนี้
                ด้านวิชาการกระบวนการจัดการเรียนการสอน   ไม่สอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดเป็นทำเป็นประยุกต์เป็นยังใช้การสอนแบบท่องจำหลักทฤษฎีหลักการ    ไม่สอดคล้องกับความต้องการไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ใน
ชีวิตประจำวันได้ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะพยายามจะเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง        แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร  เนื่องจากตั้งแต่อดีตครูจัดการเรียนการสอนโดยเน้นครูเป็นหลักมาโดยตลอดและหลักสูตรล้าสมัยและขาดคุณภาพ 3 เนื้อหาสาระ   ไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิดอย่างเป็นระบบไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสำนึกรักษ์ท้องถิ่นภูมิปัญญา วัฒนธรรมท้องถิ่นขาดคุณธรรมจริยธรรมเป็นผลก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสังคมตามมายังไม่สิ้นสุด
                ด้านบุคคลการเตรียมและผลิตบุคลากรครูไม่ทันกับกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงผลิตบุคลากรในมิติแคบ
ด้านเดียวไม่สามารถบูรณาการองค์ความรู้ได้ดีเท่าที่ควรครูขาดคุณภาพ    อันเนื่องมาจากขาดระบบการสร้างแรงจูงใจให้คนเก่งคนดีมาเป็นครูเพราะค่าตอบแทนไม่พอกับค่าครองชีพปัจจุบันครูจำนวนมากมีวัฒนธรรมเฉื่อยชามีหนี้สิ้นจำนวนมากและยังมีโรงเรียนจำนวนมากที่ขาดบุคลากรครู
                ด้านงบประมาณ โรงเรียนได้รับจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอที่จะดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนดและไม่สามารถจัดหางบประมาณเพิ่มเติม และบุคลากรขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงบดุลบัญชี และการรายงาน
                ด้านการบริหารงานทั่วไปชุมชนไม่มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขาดการประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่กิจกรรมของโรงเรียนระบบเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศการจัดระบบฐานข้อมูลของสถานศึกษาไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เท่าที่ควร
                 สภาพการณ์ และปัญหาการปฏิรูปการศึกษาทั้งปวงข้างต้นนำมาสู่การตราพระราชบัญญัติกำหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองท้องถิ่นพุทธศักราช 2542 ซึ่งออกตามความแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 ที่กำหนดให้รัฐต้องถ่ายโอนภารกิจบริการสาธารณะที่ซ้ำซ้อน หรือที่รัฐจัดในพื้นที่ขององค์กรปกครองท้องถิ่น ขณะเดียวกันพระราชบัญญัติการศึกษาได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถขอรับการถ่ายโอนสถานศึกษาหรือจัดการศึกษาได้ตามความพร้อมความเหมาะสมและความต้องการของท้องถิ่น (สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร, 2548, หน้า 1) มีองค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นจำนวนมากที่ไม่ต้องการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน และเป็นภาระระยะยาวไม่เห็นผลทันตาไม่ให้ผลทางการเมืองที่ต้องการผลตอบแทนโดยเร็วแต่แท้ที่จริงแล้วการลงทุนด้านการศึกษาเป็นภาระสังคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่องค์กรปกครองท้องถิ่นจะต้องเร่งดำเนินการ และนอกเหนือจากงบประมาณที่องค์กรปกครองท้องถิ่นเติมลงไปมากเท่าใดจะก่อสร้างอาคารเรียนใหญ่โตขนาดไหน แต่ถ้าไม่เคยใส่ใจลงไปดูปัญหาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร การจัดการศึกษาก็ไม่สามารถที่จะเจริญงอกงามได้ (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, 2551, หน้า 71)
                เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น   ตั้งแต่การกระจายอำนาจการจัดการศึกษาทั้ง 4 ด้านคือด้านวิชาการ
ด้านบุคคลด้านงบประมาณ และด้านการบริหารทั่วไปที่มีการเมืองท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องควรจะบริหารจัดการการศึกษาอย่างไรให้มีคุณภาพ ในฐานะผู้ศึกษาเป็นผู้ปฏิบัติงานในตำแหน่งนักวิชาการศึกษาสังกัดองค์กรปกครองท้องถิ่นซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบจัดการศึกษาปฐมวัย (ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล) จึงสนใจวิจัยการจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อนำข้อมูลไปจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นเตรียม ความพร้อมของเด็กก่อนวัยเรียนก่อนจะเข้าศึกษาต่อในระดับสูงต่อไป

วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อศึกษาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา
เขต 4 ในเขตอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมา 2. เพื่อเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 4 ในเขตอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาทั้ง 4 ด้านคือด้านวิชาการด้านบุคคลด้านงบประมาณและด้านการบริหารทั่วไปโดยจำแนกตาม เพศอายุระดับการศึกษาและประการณ์การสอน

วิธีการวิจัย
                การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษานครราชสีมาเขต 4 ในเขตอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาทั้ง 4 ด้านประกอบด้วยด้านวิชาการ
ด้านงบประมาณด้านบุคคลและด้านการบริหารทั่วไปเป็นการวิจัยเชิงสำรวจระดับการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโดยผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3. วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล
4. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
                1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือบุคลากรครูของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 4 ในเขตอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาในปีการศึกษา 2550 จำนวน 55 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 643 คน
                2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้จากการกำหนดขนาดโดยใช้หลักการของทาโร่ยามาเน (Taro Yamane) ที่ระดับนัยสำคัญ .05 ได้กลุ่มตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 247 คนต่อจากนั้นจึงใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) จากประชากรโดยใช้สัดส่วนระหว่างประชากรและกลุ่มตัวอย่างและการจับสลาก

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
                แบบสอบถามระดับการปฏิบัติงานการจัดการศึกษาเป็นแบบประเมินค่า (Rating Scale) 5 ระดับคือมากที่สุดมากปานกลางน้อยน้อยที่สุดซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ตอนดังนี้
                ตอนที่ 1 ข้อมูลเบื้องต้นผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งเป็นคำถามเกี่ยวกับเพศอายุระดับการศึกษาและ
ประสบการณ์การสอน
                ตอนที่ 2 การจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 4 ในเขตอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาทั้ง 4 ด้านคือด้านวิชาการด้านบุคคลด้านงบประมาณและด้านการบริหารงานทั่วไปจำนวน 32 ข้อได้แก่
- ด้านวิชาการจำนวน 8 ข้อ
- ด้านบุคคลจำนวน 9 ข้อ
- ด้านงบประมาณจำนวน 5 ข้อ
- ด้านการบริหารงานทั่วไปจำนวน 10 ข้อ
                ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ
โดยค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ .92

วิธีการเก็บรวมรวมข้อมูล
                ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้วิจัยขอความร่วมมือกับผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อพบบุคลากรครูซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างแล้วดำเนินการแจกแบบสอบถามและรอรับแบบสอบถามคืนจำนวน 247 ฉบับคิดเป็นร้อยละ 100

การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้
                การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การประมวลผล   โดยโปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ข้อมูลกำหนดระดับ
การปฏิบัติงานการจัดการศึกษาเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แล้วแปลผลข้อมูลจากคะแนนเฉลี่ย โดยใช้เกณฑ์ค่าเฉลี่ยที่มีช่วงชั้น (Class Interval) เท่ากัน
                สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าทดสอบทีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและใช้การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่โดยวิธี LSD (Least Significant Different)

ผลการวิจัย
                การจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 4 ในเขตอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาในภาพรวมมีระดับการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมากโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.13 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .64 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าระดับการปฏิบัติงานการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานด้านการบริหารงานทั่วไปอยู่ในระดับมากที่สุดเป็นลำดับที่ 1 รองลงมาเป็นด้านงบประมาณด้านบุคคล และลำดับสุดท้ายคือด้านวิชาการรายละเอียดดังตารางที่ 4

สรุปผลการวิจัย
                บุคลากรครูของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 67.20 มีอายุระหว่าง 41 - 50 ปีคิดเป็นร้อยละ 46.55 มีการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาตรีคิดเป็นร้อยละ 85.82 และมีประสบการณ์การสอนมากกว่า 20 ปีคิดเป็นร้อยละ 70.04
                การจัดการศึกษาของสถานการศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่นครราชสีมาเขต 4 ในเขตอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาในภาพรวมมีระดับการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณารายด้านพบว่าระดับการปฏิบัติงานการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานด้านการบริหารงานทั่วไปอยู่ในระดับมากที่สุดเป็น ลำดับที่ 1 รองลงมาเป็นด้านงบประมาณด้านบุคคลและลำดับสุดท้ายคือด้านวิชาการ


ผลการทดสอบสมมติฐาน
                พบว่าบุคลากรครูที่มีเพศแตกต่างกัน มีระดับการปฏิบัติงานจัดการศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโดยภาพรวมไม่แตกต่างกันซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของจุรีอุไรวัฒนา (2548) เรื่องการศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขนาดเล็กที่เป็นนิติบุคคลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาราชบุรีเขต 1 เขต 2 พบว่าสภาพการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขนาดเล็กที่เป็นนิติบุคคลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาราชบุรีเขต 1 เขต 2 ตามความคิดเห็นของบุคลากรจำแนกตามเพศไม่แตกต่าง
                บุคลากรครูที่มีอายุและประสบการณ์การสอนแตกต่างกัน มีระดับการปฏิบัติงานจัดการศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไม่แตกต่างกันซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของเกษมคำศรี (2547) ได้ศึกษาความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสุพรรณบุรีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู และเปรียบเทียบความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูจำแนกตามอายุ และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานผลการวิจัยพบว่าความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสุพรรณบุรีพบว่าโดยรวมไม่แตกต่างแตกต่างกัน
                บุคลากรครูที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีระดับการปฏิบัติงานจัดการศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของจุรีอุไรวัฒนา (2548) เรื่องการศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขนาดเล็กที่เป็นนิติบุคคลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาราชบุรีเขต 1 เขต 2 พบว่าเมื่อเปรียบเทียบสภาพการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขนาดเล็กที่เป็นนิติบุคคลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาราชบุรีเขต 1 เขต 2 ตามความคิดเห็นบุคลากรจำแนกตามระดับการศึกษาภาพรวมมีความคิดเห็นทั้ง 3 ด้านคือด้านการบริหารงานวิชาการด้านการบริหารงานงบประมาณและด้านการบริหารทั่วไปแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่ไม่สอดคล้องกับด้านการบริหารงานบุคคลเพราะบุคลากรที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกันมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน

ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
                1. ด้านวิชาการการจัดสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนไม่เพียงพอกับความ
ต้องการมีค่าเฉลี่ยเป็นอันดับสุดท้ายจึงควรปรับปรุงพัฒนาสื่อการเรียนการสอนและเทคโนโลยีที่จำเป็นและทันสมัย เช่น การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เท่าเทียมนักเรียนในโรงเรียนอื่น สถานศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดให้มีการสัมมนาบุคลากรครูให้สามารถใช้สื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้พัฒนาความรู้ได้เต็มศักยภาพ
                2. ด้านบุคคลการวางแผนเพิ่มจำนวนบุคลากรให้เพียงพอกับปริมาณนักเรียนมีค่าเฉลี่ยเป็นอันดับสุดท้ายจึงควรให้สถานศึกษาวางแผนขออนุมัติอัตรากำลังให้สอดคล้องกับความต้องการและโดยเฉพาะตำแหน่งที่เกษียณอายุราชการแล้วควรมีการวางแผนขออัตรากำลังทดแทนจึงสามารถลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรครู
                3. ด้านงบประมาณการจัดหารายได้เพิ่มเติมนอกเหนือจากงบประมาณแผ่นดินมาใช้ในการจัดการศึกษามีค่าเฉลี่ยเป็นอันดับสุดท้ายจึงควรจัดหารายได้เพิ่มเติมเช่นการทำผ้าป่าเพื่อการศึกษาและการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน
                4. ด้านการบริหารงานทั่วไปการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่กิจกรรมของโรงเรียนทั้งภายในโรงเรียน และชุมชนเป็นอันดับสุดท้ายจึงควรปรับปรุงระบบสารสนเทศการสร้างเว็บไซต์ของโรงเรียนบนระบบเครือข่าย สารสนเทศทางโรงเรียนจัดให้มีป้ายนิเทศหน้าโรงเรียนจัดหาครูฝ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจกับชุมชน และผู้ปกครอง

ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป
                1) ศึกษาผลกระทบที่มีต่อการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ถ่ายโอนจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
                2) การวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้การบริหารจัดการการศึกษาด้านวิชาการของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล

กิตติกรรมประกาศ
                วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจากท่านอาจารย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ดร.นิรมิตคุณาวัฒน์และดร.ภวนาเผ่าน้อยอาจารย์ที่ปรึกษาในการให้คำปรึกษาแนะนำตรวจปรับแก้ไข
ข้อบกพร่องต่างๆของวิทยานิพนธ์พร้อมให้ข้อเสนอแนะที่มีประโยชน์สามารถนำมาประมวลเป็นความรู้ในการทำวิทยานิพนธ์ให้มีความถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมาณโอกาสนี้
                ขอขอบพระคุณกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นที่มอบโอกาสทางการศึกษาให้แก่ผู้วิจัยและขอบคุณคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาทางด้านการศึกษาและการปฏิบัติผ่านอาจารย์ประจำวิชาจากภาควิชาต่างๆเพื่อให้ผู้วิจัยสามารถนำความรู้ประสบการณ์มาปรับใช้ในการบริหารจัดการการศึกษาขององค์การบริหารส่วนตำบลนากลางขอขอบคุณเพื่อนร่วมโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกับมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตที่คอยให้ความช่วยเหลือแนะนำและเป็นกำลังใจในการทำวิทยานิพนธ์ขอบคุณองค์การบริหารส่วนตำบลนากลางบุคลากรครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 4 อำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาและขอขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่พี่น้องและญาติๆที่คอยให้การสนับสนุนให้คำปรึกษาและเป็นกำลังใจที่สำคัญยิ่งในการทำวิทยานิพนธ์ครั้งนี้
                ท้ายที่สุดนี้ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลการทำวิจัยครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองท้องถิ่นต่อไป

เอกสารอ้างอิง
การศึกษา, สำนักงานกรุงเทพมหานคร. (2548). การถ่ายโอนสถานศึกษา.กรุงเทพฯ : อิมเมจพูล. เกษมคำศรี. (2547). การศึกษาความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูสังกัดสำนักงานการประถมศึกษา
                จังหวัดสุพรรณบุรี. วิทยานิพนธ์ครุศาสมหาบัณฑิตสาขาการบริหารการศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยราชภัฎกาญจนบุรี.คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สำนักงาน. (2545). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.. 2542 และที่แก้ไข
                เพิ่มเติม (ฉบับที่2) .. 2545. กรุงเทพฯ : พริกหวานกราฟฟิค. จุรีอุไรวัฒนา. (2548). การศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขนาดเล็กที่เป็นนิติบุคคลสังกัดสำนักงาน
                พื้นที่การศึกษาราชบุรีเขต1 และเขต2. วิทยานิพนธ์บัณฑิตวิทยาลัยสาขาการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม. ธีระรุญเจริญ. (2545) .สภาพและปัญหาการบริหารการจัดการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษาในประเทศ
                ไทย. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรีกรุงเทพฯ : วี.ที.ซี. คอมมิวนิเคชั่น.ปฏิรูปการศึกษา, สำนักงาน. (2543). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่2)
                พ.. 2545. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว.ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, กรม. (2551). รายงานสรุปผลการเสวนาและนิทรรศการการจัดการศึกษาท้องถิ่น.
กรุงเทพฯ : เอ็ดดูมีเดียคอร์ปเรชั่น (ประเทศไทย).__



บทความวิชาการ

                ปัจจุบัน ประชาคมโลกให้ความสำคัญกับปัญหาที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยตระหนักว่า สิ่งแวดล้อมดีหรือไม่ดีล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนพลโลกกันถ้วนหน้า
          
ในประเทศไทย
เอง ...เรื่องราวของการตรวจสอบมลพิษในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดก็กำลังเข้มข้น เป็นข่าวพาดหัวในหนังสือพิมพ์หลายฉบับตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
                  ในระดับโลก...ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อันมีสาเหตุจากปรากฎการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นตัวการสำคัญ ก็กำลังได้รับความสนใจยิ่ง 
                เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2550 ที่ผ่านมา เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ก็ได้ออกมาย้ำว่า คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ ไอพีซีซี (Intergovernment Panel on Climate Change, IPCC) กำลังประชุมกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อตรวจ (ร่าง)รายงานว่าด้วยเรื่องผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขั้นสุดท้าย ก่อนที่จะเผยแพร่สู่สาธารณชนในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2550 นี้
              
รายงานดังกล่าว รวบรวมงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ 2,500 คน จากกว่า 130 ประเทศ โดยใช้เวลาในการรวบรวมถึง 6 ปี
               
เนื้อหาเด่นของรายงานระบุว่า มีความเป็นไปได้อย่างน้อย 90 เปอร์เซนต์ที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งเมื่อ 6 ปี ที่แล้ว รายงานระบุความเป็นไปได้อยู่ที่ 66 เปอร์เซ็นต์(สรุปก็คือ รายงานได้เพิ่มความน่าเชื่อถือว่ามนุษย์เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อน)
                ในรายงาน ยังได้นำเสนอผลการประเมินแนวโน้มที่ว่า ในช่วงศตวรรษที่ 21 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 2.0-4.5 องศาเซลเซียส
 
             แม้หลายประเทศที่อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร รวมทั้งประเทศไทยสัมผัสอากาศร้อนจนเคยชิน คนไทยหลายคนจึงไม่ค่อยตื่นตัวว่า “อุณหภูมิที่สูงขึ้นไม่กี่องศาที่เพิ่มขึ้นนั้น จะกระทบกับกรุงเทพฯ หรือจังหวัดอื่นอย่างไร?” แต่หลักฐานผลการวิจัยของปัญหาอันอาจมีสาเหตุจากโลกร้อนหลายชิ้นทั่วโลก ที่ทยอยเผยแพร่ออกมาในช่วง 2 –3 ปีที่ผ่านมา เช่น 
                - พืชอย่างดอกเชอร์รี่ และองุ่น ออกดอกและผลเร็วกว่าปกติ
                - เพนกวินจักรพรรดิในทวีปแอนตาร์กติกหรือขั้วโลกใต้ มีจำนวนคู่ผสมพันธุ์ลดลงจาก 300 คู่ เหลือเพียง 9 คู่
            - 
องค์การ อนามัยโลกได้สำรวจการแพร่ระบาดของมาลาเรียในเขตตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรปใน ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่ามาลาเรียได้ขยายวงจากสามประเทศ ไปถึงรัสเซียกับอีก 6 ประเทศใกล้เคียงและอีกหลายๆ ผลการวิจัย [น้ำท่วม คลื่นความร้อนสูง พื้นที่แห้งแล้ง ภูเขาน้ำแข็งละลาย (ที่กระทบต่อปริมาณน้ำทะเลและพื้นที่ชายฝั่ง) ฯลฯ] ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาร่วมกันของประเทศไทยกับประเทศอื่นทั่วโลก