บทความท่องเที่ยว
อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว
อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาสระบาป อำเภอแหลมสิงห์ จากตัวเมืองจันทบุรีขับรถออกมาที่ถนนสุขุมวิท ตรงกิโลเมตร ที่ 346 มีทางแยกซ้ายไปน้ำตกพลิ้ว 2 กิโลเมตร อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีเนื้อที่ทั้งหมด 134.5ตาราง กิโลเมตร ประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปีพ.ศ. 2518 สภาพโดยทั่วไปเป็นป่าโปร่งมีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ เช่น ขนุนป่า กระท้อนป่า พิมเสน ขึ้นอยู่ทั่วไป ที่พักมี-บ้านพัก 3 หลัง พักได้หลังละ 8 คน ราคาหลังละ 600-800บาทและค่ายพักแรมพักได้ 20-50 คน ราคาหลังละ200-500 บาท ติดต่อรายละเอียดได้ที่ กอง อุทยานแห่งชาติโทร. 5790529, 5794842 สถานที่ท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่ น้ำตกพลิ้ว มี 3 ชั้น จากทางขึ้นไป 200เมตร มี อลงกรณ์เจดีย์ อยู่ทางขวามือเป็นเจดีย์ศิลาแลง รัชกาลที่ 5 โปรดให้พระยา จันทบุรีเป็นแม่กองสร้าง เมื่อ พ.ศ.2419 นอกจากนี้แล้วบริเวณใกล้ ๆ กัน ยังมีปิรามิดอีกแห่งหนึ่งชื่อ "ปิรามิดพระนางเรือล่ม" หรือ "สถูปพระนาง-เรือล่ม" เป็นที่บรรจุพระอังคารของพระนางเจ้า-สุนันทากุมารี รัตน์ (พระนางเรือล่ม) ซึ่งเคยเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้ว เมื่อพ.ศ.2417 ในธารน้ำตกมีปลาพลวงอาศัยอยู่เป็น จำนวนมาก
ภูเก็ตไข่มุกแห่งอันดามัน
เดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงปลายของฤดูฝน ทะเลฝั่งอันดามันก็จะถึงฤดูกาลท่องเที่ยว นี่เป็น ครั้งที่ 2 ที่ผมได้มาเที่ยวทะเลแดนใต้ ครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับทะเลอันดามันก็ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตราทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสัก 2-3 อาทิตย์ ถ้าผมคิดช้าอีกสักนิดก็คงไม่ได้ มาเขียนเรื่องต่างๆให้คุณได้อ่านกันแล้วหละ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันจะทำให้เกิดการสูญเสีย และน่ากลัวเพียงใดก็ไม่ทำให้ผมลืมภาพอีกด้านที่งดงามของทะเลฝั่งนี้ไปได้ ผมไม่เคยกลัวทะเล ผมชอบทะเล ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ไม่เป็นไรขอได้สะใจอีกซักที
ผมเลือกที่จะมาสัมผัสไข่มุกแห่งอันดามันแห่งนี้ ภูเก็ตเป็นเมืองที่สวยงาม มีอาคารเก่าแก่แบบ ชิโน-โปตุกีส และมีทะเลที่สดใส ผมเลือกพักที่รีสอท์แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากชายหาดป่าตองประมาณซัก 300 เมตร เป็นรีสอท์ที่สวยงามพอใช้ได้ทีเดียว หลังจากเช็คอินเรียบร้อย ผมเลือกที่จะนอนเอาแรง เพื่อจะได้สัมผัสแสงสียามค่ำคืนของหาดป่าตองว่าเป็นยังไง เวลา 18.30 น.เป็นเวลานัดกับเพื่อนผอง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพวกเราก็เดินเท้าชมทะเล เดินผ่านร้านต่างๆไปเลื่อยๆสิ่งที่พอสังเกตเห็น ได้ชัด ทำไมไม่มีคนไทยเลย คำเชิญชวนของบริกรก็พูดกับเราแต่ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่นบ้าง เกาหลีบ้าง หน้าผมก็ไม่ได้กระเดียดไปทางนั้นเลย ออกจะไปทางแขกๆบ้างด้วยซ้ำ ถ้าเพื่อนผมก็อาจจะใช่ ผมว่า บรรยากาศของที่นี่ก็คล้ายๆกับพัทยา แต่ออกจะดูหรูหราและมีรสนิยมมากกว่า เนื่องจากค่าครองชีพที่นี่สูงมาก หลังจากอิ่มกับบรรยากาศจนจุใจแล้ว ผมก็ต้องขอกลับที่พักเพื่อที่จะเตรียมตัวกับทัวร์ในตอนเช้า ที่จะมารับเราในเวลาเจ็ดโมงตรง
วันนี้รู้สึกจะสดใสเป็นพิเศษเพราะได้นอนเต็มที่ โปรแกรมวันนี้คือเกาะเฮ ไกล์บอกเราว่าที่นี่มีปะการังที่สวยงามและสมบูรณ์แห่งหนึ่ง มีปลาหลากหลายชนิด ปลาดิบก็แยะ งงไหมครับปลาดิบก็แยะ ก็สาวๆญี่ปุ่นไงครับนิยมที่จะมาเที่ยวที่เกาะเฮแห่งนี้เป็นชาติต้นๆเลย ผมตื่นเต้นที่จะได้เห็นปลาดิบ เอ้ยไม่ใช่ ปะการังต่างหาก แต่ในกรุ๊บทัวร์ของเราก็มีปลาดิบอยู่หลายตัวเหมือนกัน หุ หุ! เมื่อเรือ speed boat มาถึงเกาะเฮ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ไกล์ก็บอกให้เราลงดำดูปะการังได้ ผมไม่รอช้ารีบลงจากเรือแทบจะเป็นคนแรก ทะเลที่นี่ใสมาก ปะการังก็สมบูรณ์ดี แต่ก็ยังพอให้เห็นซากปะการังเขากวางแตกหักอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ปลาที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นปลาโนรี ปลาผีเสื้อ ปลานกแก้ว แต่ผมชอบปลาปักเป้าหน้าหมานะ เพราะว่าหน้าเหมือนไกล์ของเราดี หลังจากชุ่มช่ำกับเกาะเฮเราก็ต่อด้วยเกาะราชา นั่งเรือไปอีกไม่กี่นาทีเราก็มาถึง ไกล์ของเราเอาขนมปังโยนลงไป โอ้พระเจ้า! ผมนึกไปถึงปลาสวาย ตามหน้าวัด มันเยอะมากๆ แต่นี่มันในทะเล ปลาเสือทะเลทั่งนั้น ปลานกแก้วก็มี ผมอยากจะกระโดดลงไปในฝูงปลานั้นจริงๆ ทะเลที่นี่ใสไม่แพ้ที่เกาะเฮเลย ปะการังส่วนใหญ่เป็นปะการังแข็ง ปะการังจานส่วนปะการังเขากวางผมไม่เห็นเลย เห็นกุ้งมังกรด้วย แต่มีแต่หัวเพราะเจ้าปลานกแก้วกำลังแถะอยู่ ปลาโนรี ปลาผีเสื้อ เจอกันอีกแล้วเจ้าปักเป่าหน้าหมา แต่ที่ทำให้ผมตื่นเต้นเป็นพิเศษก็เจ้าปลาไหล มอร์เลย์ตัวสีน้ำตาลเข้มที่มันจองมองผม ทำไมมันต้องอ้าปากทำฟันเหยือนด้วยนะผมนึกในใจ ซักพักมันก็ว่ายหนีไป โอ้โฮ จากสายตาที่ผมเห็นตัวมันน่าจะยาวซัก 2 เมตร ใหญ่จริงๆ ถ้าผมรู้ว่ามันตัวขนาดนี้ ผมโกยขึ้นเรือตั่งแต่แรกแล้วโชคดีที่มันหนีไปซะก่อน เมื่อได้เวลาพวกเราก็ต้องขึ้นเรือเพื่อจะเดินทางกลับเข้าฝั่ง
หลังจากถึงที่พักผมก็ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปเที่ยวในตัวจังหวัด เพราะคืนนี้เพื่อนผมที่ เคยเรียนมาด้วยกันจะมารับไปกินข้าว เราเลือกร้านอาหารทะเลที่ติดชายหาดแถวๆสะพานสารสิน อาหารอร่อยใช้ได้ทีเดียว ราคาไม่แพงด้วยเป็นไปได้ยังไง เราใช้เวลากินข้าวกันนานทีเดียว เกือบ 4 ชั่วโมงก็ต้องกลับที่พักเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไป พี พี
เช้านี้รู้สึกแย่นิดหน่อยเพราะนอนไม่เต็มอิ่ม แต่โชคดีวันนี้เราเดินทางโดยเรือใหญ่เพื่อไป พี พี ผมและเพื่อนเลือกที่เหมาะๆนอนกันตามอัธยาศัย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงเกาะพี พี ระหว่างทาง เรายังพอเห็นซากเรือจมซึ่งเกิดจากสึนามิอยู่เลย ผมไม่สงสัยเลยทำไมที่ พี พี จึงมีคนเสียชีวิตกันมาก เพราะร้านอาหาร โรงแรมถูกล้อมไปด้วยทะเลทั่ง 2 ด้าน โรงแรมหลายแห่งเริ่มปรับปรุงกันบ้างแล้ว แต่ความงามของ พี พี ก็ยังคงความสวยงามอยู่ นักท่องเทียวก็เริ่มเข้ามามากขึ้น
ผมใช้เวลาอยู่ในภูเก็ต 4 วัน 3 คืน ผมยังเทียวได้เพียงเศษเสี้ยวของแหล่งท่องเทียวที่นี่ ถ้ามีโอกาศอีกเมื่อไหร่ ดินแดนไข่มุขแห่งอันดามันแห่งนี้ต้องได้เจอกับผมอีกแน่
ไฮไลท์ชีวิต “บิด...พิชิตอินทนนท์
ไฮไลท์ชีวิต “บิด...พิชิตอินทนนท์” |
โดย...บั๊บเบิ้ล |
เรื่องราวความประทับใจจากการเดินทางท่องเที่ยวเมืองไทยของผมในปีที่ผ่านมา เพิ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะสิ้นปีมานี้เอง หรือจะเรียกว่าเป็น “ไฮไลท์” ของชีวิตผมเลยก็ว่าได้ นั่นคือการสานความตั้งใจที่จะขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งมีความสูงที่สุดในประเทศไทยให้ได้ และเป็นสิ่งที่รอคอยมาเกือบ 7 ปี นับตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เพราะอีตอนที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่นั้นไม่มีโอกาสขึ้นไปสัมผัสยอดดอยอินทนนท์เลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่ อยู่มาตั้ง 4 ปี น่ะ...(บอกใครหลายคนก็อายมาก.!) การเที่ยวส่งท้ายปีเก่าครั้งนี้จึงเป็นโอกาสแรกและโอกาสสุดท้ายที่จะทำตามความตั้งใจนั้นให้สำเร็จจงได้ ถ้าท่านผู้อ่านเข้าใจผม โปรดช่วยเป็นกำลังใจและรับฟังประสบการณ์สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดบนหลังเบาะเจ้ามอไซค์เก่าๆ คันนี้ไปด้วยกันเลยนะครับ
สัปดาห์สุดท้ายของธันวาคม ผมรีบสะสางงานที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ โดยวางแผนจะไปท่องเที่ยวพักผ่อนส่งท้ายปีเก่าที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับยังไม่ลืมความตั้งใจเดิมที่จะขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์ให้ได้ และแล้ววันนั้นก็มาถึง หลังจากที่ผมและ (..เพื่อนที่รู้ใจ) ใช้เวลาท่องเที่ยวเล็กๆ น้อยๆ อยู่ใกล้ย่านที่พักในตัวเมืองมาได้สองวันแล้ว จนถึงวันจันทร์ก่อนจะขึ้นปีใหม่ 3 วัน เราจึงได้เช่ามอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ขนาดสี่จังหวะธรรมดานี่แหละ (แต่เครื่องแรงนะ ...จะบอกให้!..) จากร้านเช่าในตัวเมือง และบิดมันออกจากที่พักเมื่อเวลาสิบโมงครึ่งได้ (แบบว่าตื่นสายน่ะ ..!) ใช้เวลาสองชั่วโมงนิดๆ จึงมาถึงอำเภอจอมทอง อันเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนนท์แห่งนี้ ตอนนี้เพิ่งจะใกล้บ่ายโมง หากรีบขึ้นดอยทันทีอาจจะมีแดดแรงอยู่ เราจึงขับเจ้ามอไซค์ออกนอกเส้นทางเพื่อแวะขึ้นไปชมความงามของ “น้ำตกแม่ยะ” กันซะหน่อย โดยเป็นเส้นทางขึ้นเขายาว 15 กิโลเมตร ลาดชันเล็กน้อยแบบไม่ทำให้เหล่านักบิดหน้าใหม่ต้องหวั่นใจมากมายนัก ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงนิด ๆ บ่ายโมงครึ่งจึงมาถึงน้ำตกแห่งนี้ ซึ่งสวยงามสมคำร่ำลือจริง ๆ เพราะตัวน้ำตกมีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน น้ำที่ไหลจากป่าทึบด้านบนจึงตกลงมากระทบกับผาหินเกิดเสียงดังสนั่น แตกฟองขาว พร้อมกับพัดไอน้ำเย็น ๆ มาปะทะกับใบหน้าของเรา ทำให้ผมที่บิดเจ้ามอไซค์ฝ่าแดดมากว่าสามชั่วโมงจากตัวเมืองเพื่อมาชมชื่นใจขึ้นมาทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่เคยได้ยินหลายท่านกล่าวว่าน้ำตกแม่ยะเป็นน้ำตกที่รวบรวมความสวยงามของทุกน้ำตกในเมืองไทยเข้ามาไว้ที่เดียวกัน หลังจากใช้เวลาชื่นชมความงามของน้ำตกแห่งนี้มาได้ชั่วโมงหนึ่งแล้ว บ่ายสองโมงครึ่งจึงออกจากที่นี่ แต่ก่อนกลับก็ไม่ลืมแวะเติมมื้อกลางวันด้วย...ข้าวเหนียว...ส้มตำ...ไก่ย่าง...และน้ำโค๊ก จากร้านค้าหน้าที่ทำการน้ำตกกันซะหน่อย ก็แหม!..จะได้เข้ากับสโลแกนของททท. “เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก” ไงละคร๊าบ...
เวลานี้ ชั่วโมงที่รอคอยก็มาถึง หลังจากที่ขับเจ้ามอไซค์ลงมาจากน้ำตกแม่ยะถึงด่านจุดตรวจที่ 1 ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อันเป็นจุดแรกของทางขึ้น บ่ายสามโมงพอดี ภารกิจบิดพิชิตยอดดอยจึงเริ่มขึ้น.. ซะที!..ผมรู้สึกตื่นเต้นพอสมควรที่รู้ว่าต้องขับขึ้นเขาไปอีกกว่า 47 กิโลเมตร เราบิดเจ้ามอไซค์ไปอย่างสบายๆ กินลมชมวิวไปเรื่อยๆ ปล่อยให้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ล้วนแต่ขับรถยนต์หรูมาจากกรุงเทพฯ หลายคันนำไปก่อน (แถมคิดในใจด้วยว่า..เชอะ!ไม่ได้สัมผัสธรรมชาติใกล้ชิดอย่างเรา...) การที่ได้ขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นด้วยตนเองเช่นนี้ ทำให้ได้สูดอากาศบริสุทธิ์และเห็นความอุดมสมบูรณ์ เขียวขจี ของผืนป่าอินทนน์อย่างเต็มที่ด้วย...แต่หลังจากที่เราขับขึ้นมาได้เกินครึ่งทางหน่อย ๆ แล้ว...ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...โอ้...คุณพระ (ไม่) ช่วย!.. โชคร้ายเหลือเกิน.. น้ำมันรถใกล้หมดถังซะแล้ว...ทำไงดี.. ทั้ง ๆ ที่ ตอนลงมาจากน้ำตกแม่ยะยังมีเกือบเต็มถังอยู่เลย ในขณะที่เหลือยังเหลือระยะทางเกือบ 20 กิโลเมตร จึงจะถึงยอดดอย นั่นคงเป็นเพราะที่ผ่านมาเราบิดมานานและต้องขึ้นทางที่ลาดชันสูง ทำให้รถ..ซดน้ำมัน..(ซะเกือบหมดถัง!..) นั่นเอง ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเอามาก ๆ เพราะยิ่งขับสูงขึ้นเท่าไหร่ รถก็ซดน้ำมันมากขึ้น จนประมาณได้ว่าคงขับต่อไปได้ไม่เกิน 5 กิโลเมตรเท่านั้น และความตั้งใจที่รอมานานคงจะจบลงเท่านี้..ฮือๆ!..อยากร้องไห้จริง ๆ .. ตอนนี้สิ่งเดียวในใจที่เหลืออยู่ คือ “สติ” ผมจึงขับช้าลงและภาวนาแต่เพียงว่าให้เจอปั้มน้ำมันของหมู่บ้านชาวเขาที่ใกล้ที่สุดเท่านั้นก็พอ (ต่อให้ลิตรละ 40 บาท ก็จะเติมเอ้า!..) และแล้ว..ความหวังนั้นก็เป็นความจริง...เมื่อเราได้เจอพี่ชาวเขาคนหนึ่งกำลังนอนเล่นอยู่ที่ศาลาริมทาง จึงไม่ลังเลใจที่จะหยุดรถพร้อมกับ...พี่คร๊าบ!..แถวนี้มีปั๊มน้ำมันบ้างมั๊ยคร๊าบ.. คำตอบที่ได้รับก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ เมื่อรู้ว่าเลยจุดนี้ไปประมาณ 3 กิโลเมตรเท่านั้น จะมี “เบนซินแห่ง
ชิวิต” รอเราอยู่ ถึงตอนนี้ ผมอยากร้องออกมาด้วยความดีใจดัง ๆ จัง เราขอบคุณพี่ชาวเขาด้วยมิตรไมตรี และขึ้นไปต่อทันที ซึ่งก็ได้พบปั้มน้ำมันเล็ก ๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านชาวเขาพอดี เท่านั้นแหละครับ...เบนซิน 91 เต็มถังเลยพี่!...จึงเป็นคำขอซื้ออย่างเป็นทางการจากผม ด้วยราคาลิตรละ 28 บาท เสมือนสิ่งที่จะต่อความฝันที่เหลืออยู่แค่เอื้อมให้สำเร็จ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยและเราพร้อมที่จะลุยเกือบ 20 กิโลเมตรที่เหลือแล้ว ภารกิจบิดจึงดำเนินต่อไป เจ้ามอไซค์ของเราไต่ระดับความสูงเพิ่มขึ้น พร้อมด้วยอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ทำให้รู้ซึ้งกับคำว่า “ยิ่งสูง ยิ่งหนาว” จริง ๆ จนเมื่อเราขึ้นมาถึงพระธาตุนภเมทนีดลและพระธาตุนภพลภูมิศิริ เหลือบเห็นป้ายดอยอินทนน์อีกแค่สองกิโลเมตรเท่านั้น หัวใจของผมพองโตจนถึงที่สุด สองกิโลเมตรสุดท้ายนี้จึงเป็นช่วงที่สูงมาก เจ้ามอไซค์ของเราต้องใช้เกียร์หนึ่งอย่างเดียว ถึงจะมีกำลังขึ้นได้ ...และแล้ว...ไชโย!...พิชิตยอดดอยอินทนนท์สำเร็จแล้ว!..ข้างบนนี้ช่างสวยงามเหลือเกิน แม้จะต้องใช้เวลาบิดขึ้นมากว่าสองชั่วโมง เกือบหมดหวังกับน้ำมันขีดสุดท้าย และฝ่าความหนาวเย็นยะเยือกระหว่างทางจนลีบไปทั้งตัว แต่ก็ไม่อาจขวางกั้นความประทับใจ ตื้นตัน (และภูมิใจ) ในตัวเองที่เกิดขึ้นได้...มากไปกว่านั้นคือบทเรียนที่ได้รับ ซึ่งจะขอเตือนตัวเองและฝากถึงนักบิดมือใหม่ทุกท่าน ถึงความไม่ประมาทด้านสภาพรถ น้ำมันสำรอง สภาพร่างกาย และเสื้อกันหนาว ที่ต้องพร้อมอยู่เสมอ...หากมีโอกาสที่จะได้บิดพิชิตยอดดอยครั้งต่อไป
แม้ว่าเราจะมีเวลาชื่นชมทัศนียภาพ ณ “จุดสูงสุดแดนสยาม” แห่งนี้ได้เพียงสี่สิบห้านาทีเท่านั้น (...ก็หกโมงเย็น อุทยานจะปิดแล้วน่ะสิ!..) ไม่มีแผนค้างคืน แถมยังต้องขับเจ้ามอไซค์เก่าๆ คันนี้กลับไปซุกหัวนอนในเมืองอีก แต่ความประทับใจที่ได้ “บิด...พิชิตอินทนนท์” ในวันนี้ จะคงเป็น “ไฮไลท์หนึ่งในชีวิต”...ไปอีกนานเท่านาน...
…ขอขอบคุณพี่ชาวเขาท่านนั้นอีกครั้งหนึ่งครับ
เที่ยวป่าแบบอนุรักษ์?
ในช่วงเวลาที่ย่ำเท้าก้าวสู่พงไพร พบเห็นเรื่องราวมากมาย ซึ่งบางครั้งเรื่องราวและภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าสะท้อนอารมณ์เกินคำบรรยาย ต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นโดนเลื่อยแล่แปรสภาพ ซากสัตว์ป่าที่ถูกล่าแล่เนื้อเถือหนังเหลือทิ้งไว้เพียงภาพโครงกระดูก หรือร่องรอยกับดักต่างๆ การท่องเที่ยวในพื้นที่แบบนี้มีน้อยคนจะได้เดินผ่านเข้าไปหากไม่ได้ใช้คนนำทางที่มีใจอนุรักษ์จริงๆ
ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวที่สนใจการเดินป่าแบบนี้มากขึ้น การได้บันทึกภาพและบอกเล่าเรื่องราวที่ตัวเองพานพบผ่านเวบไซด์ ผ่านการฟอร์เวิร์ดเมล ทำให้ข่าวสารเรื่องราวต่างๆพรั่งพรูสู่สายตาผู้คนอีกมากมาย แต่ทว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยวแนวนี้มีแต่คำโปรโมทครับ หาใช่เป็นจริงไม่ งบประมาณการท่องเที่ยวที่สนับสนุนกิจกรรมแบบนี้มีน้อยถึงน้อยมาก ทั้งๆทีในความเป็นจริงการส่งเสริมกิจกรรมการเดินป่านั้นใช้เพียงการประสานงานไปในแต่ละที่ละถิ่นให้นักท่องเที่ยวเท่านั้น เพราะคนที่รักและรักษ์ป่ายังมีมากมาย ใฝ่ฝันจะเดินทางและสัมผัสไอดินกลิ่นป่าอย่างไม่กลัวความยากลำบาก แต่การประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่นั้นบางทียากเย็นนัก จึงทำให้หลายคนท้อแท้
ในขณะเดียวกันการทุ่มงบโปรโมทการท่องเที่ยวในสิ่งที่เห็นเช่นดึงนักกอล์ฟมาจากต่างประเทศ จัดแข่งตีลูกกลมๆลงรูดูหรูหราเหลือเกิน งบประมาณ 40-50 ล้าน คนเดินป่าบ้าใบคงได้แต่นั่งมองค้อนขวับๆในขณะที่คนเดินป่าพวกนี้เมื่อคราใดก้าวเท่าผ่านภูผา จะใช้คนในพื้นที่ทั้งช่วยแบกข้าวของ และนำทาง เป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น หากพวกเขามีรายได้และถูกปลูกฝังเรื่องการอนุรักษ์ป่าจากนักท่องเที่ยวหลายๆกลุ่ม พวกเขาก็คงจะสอนลูกหลายให้ช่วยกันอนุรักษ์ผืนป่าต่อไป “เมื่อก่อนป่าเป็นไงบ้างน้า”ผมเอ่ยปากถามน้าใจเจ้าของร้านอาหารครัวม่อนไข่ บ้านผาปก สวนผึ้งราชบุรี “เมื่อก่อนต้นไม้ที่นี่มีแต่ตัด และตัด จนวันนึงมีกลุ่มคนจากกรุงเทพมาเห็นแล้วบอกว่า จะไปตัดทำไมเก็บเอาไว้ แล้วที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวรายได้จะวิ่งมาหาชุมชน” น้าใจตอบขณะเอาถุงพลาสติกคลุมหัวขณะฝนกระหน่ำบนเขากระโจม “ต้นไม้ต้นนึงกว่าจะโตได้หลายสิบปี แต่ใช้เวลาตัดไม่กี่วินาทีครับ” น้าใจเสริม “วันนี้ผมประจักษ์แล้ว ตราบใดมีป่าก็ยังจะมีคนมาเที่ยว ผมขายของได้ รับจ้างนักท่องเที่ยวได้” น้าใจพูดไปยิ้มไป การอนุรักษ์อาจจะไม่เห็นผลภายในวันเดียว คงต้องใช้เวลาครับ
วันนี้จึงขอเชิญชวนคนที่มีหัวใจรักษ์ป่า ย่างเท้าก้าวเดินเคยมีคำพูดนักเขียนท่านนึง อ.อำนวย อินทรารักษ์ เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมเขาใหญ่ ( เจ้าพ่อทาก )บอกไว้น่าฟังว่า คนเราที่เดินเข้าป่าไปนี้จะไปรับวัคซีน วัคซีนที่เกิดจากเห็ดพิษเพราะในป่าจะมีเห็ดราพิษมากกว่าเห็ดที่กินได้ เมื่อเราสูดดมสปอร์ของเห็ดพิษเข้าไป ร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันเป็นผลประโยชน์จากการเดินป่าอีกอย่างนึงครับ การเที่ยวป่าหากรู้จักป่าจะสนุกมากครับ ทั้งเรื่องต้นไม้ใบหญ้า แกะรอยสัตว์ป่า แมลงป่ายามค่ำคืน แต่ย้ำเตือนผองเพื่อนอย่าเคลื่อนย้ายสิ่งที่อยู่ในป่ามาสู่เมืองก็เท่านั้นที่ฝากไว้ครับ
บทความท่องเที่ยว
ปีใหม่จีน....เยือน(นคร)สวรรค์...นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ปีใหม่จีน....เยือน(นคร)สวรรค์...นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หัวค่ำ ณ อนุสาวรีย์ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร เพื่อนต่างเพศ ต่างวัย ต่างเชื้อชาติและภาษา กำลังมุ่งหน้าเพื่อไปยังสถานที่ที่พวกเขาได้ว่างแผนร่วมกันไว้ รถตู้กรุงเทพฯ-นครสวรรค์ ที่จอดรายล้อมรอบๆอนุสาวรีย์ได้จอดเพื่อรอให้บริการนักท่องเที่ยว และผู้คนที่หวังจะกลับบ้านเฉกเช่นทุกวัน ผิดแต่วันนี้ไม่เป็นอย่างที่เราคิด รถตู้กรุงเทพฯ-นครสวรรค์ ได้ถูกจองที่นั่งจนเกือบหมด ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนจำนวนมากต้องการไปร่วมงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ในจังหวัดแห่งนี้ ซึ่งก็รวมทั้งพวกเรา2 คนเอาไว้ด้วย แต่ถือว่าโชคยังดีที่พอจะมีที่นั่งสำหรับเราสองคนเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง
รถตู้ออกจากกรุงเทพฯประมาณ 2 ทุ่มเศษ การเดินทางไปครั้งนี้ลำบากกว่าทุกครั้งที่ฉันเคยเจอมา เพราะจำนวนคนที่โดยสารรถตู้คันนี้มีจำนวนถึง 17 คนซึ่งมากกว่ามาตรฐานถึง 4 คน กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง พวกเราสองคนก็มีอาการปวดตามเนื้อตามตัว เวลาก็ปาไปเกือบจะห้าทุ่มครึ่ง เมื่อเรามาถึงบริเวณรอบๆ เมืองถูกตกแต่งด้วยโคมจีนสีแดงสวยงาม บริเวณสะพานเดชาติวงศ์ซึ่งเป็นเสมือนประตูสู่ภาคเหนือได้เปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัยของมังกรขนาดใหญ่พันรอบสะพานเป็นสัญลักษณ์บอกเป็นนัยว่าเวลาของเทศกาลตรุษจีนเมืองปากน้ำโพได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยตัวมังกรได้ทอดตัวยาวจากหัวสะพานไปยังอีกด้านหนึ่งของตัวสะพาน
เมื่อย่างก้าวลงจากรถตู้ ฉันได้บอกกับตัวเองว่า ได้กลับมายังบ้านเกิดแล้ว มาพร้อมกับหน้าที่ใหม่ที่ได้รับ คือการเป็นมัคคุเทศก์จำเป็นสำหรับเพื่อนชาวต่างชาติคนนี้ ดูจากอาการของเพื่อนชาวต่างชาติแล้วเขาสนใจและอยากจะเที่ยวในทันที แต่ด้วยความที่เราเดินทางมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยและบวกกับความหิวที่ไม่เคยปรานีใครหน้าไหน ทำให้เราต้องหาอะไรกินกันก่อนที่จะกลับเขาบ้านเพื่อพักผ่อน ซึ่ง “อาหาร”ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคนเมืองนี้เลยที่จะหาอะไรกินยามดึกดื่นเช่นนี้ ทุกที่ในตัวเมืองนครสวรรค์เต็มไปด้วยร้านอาหารโต้รุ่งรถเข็นต่างๆ ร้านนมปั่น และอีกมากมายหลายชนิดจนเราตัดสินใจเลือกไม่ถูก แต่สิ่งที่เป็นปัญหาของเราในขณะนี้คือ พวกเราต้องห้ามใจที่จะเก็บความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้เป็นคืนพรุ่งนี้ เพราะวันนี้ร่างกายของพวกเราคงไม่พร้อม ถึงแม้จิตใจของพวกเราจะเต็มร้อยก็ตามที
เช้าปีที่ 20 ของฉัน กับ เช้าวันแรกของยุ่นเพื่อนชาวต่างชาติที่เมืองสี่แคว พวกเราตื่นมาด้วยความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ดื่มน้ำเต้าหู้อุ่นๆในแก้วลายสวยและปาท่องโก๋เคล้าไปกับเสียงนกร้องและแสงแดดที่สะท้อนมาสู่ตัวบ้านจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่าน ลมแม่น้ำเย็นๆในตอนเช้า ทำให้พวกเรารู้สึกพร้อมที่จะเที่ยวบริเวณรอบๆเมืองในวันนี้
บอกตามตรงว่าวันนี้ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับการเที่ยวครั้งนี้มาก หลายๆคนอาจจะคิดว่าแปลกที่เด็กในพื้นที่จะมาตื้นเต้นทำไมกับการท่องเที่ยวในตัวจังหวัดบ้านเกิดของตนเอง แต่ที่ฉันรู้สึกตื่นเต้นและดีใจคือ ฉันจะได้เป็นผู้นำเสนอสิ่งดีๆที่ฉันภาคภูมิใจในบ้านเกิดให้กับบุคคลภายนอก ให้มารู้จักกับมันให้มากขึ้นแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นๆก็ตาม ระฆังวัดดังขึ้นบอกว่าเวลา ห้าโมงเช้า พวกเราออกเดินทางไปยังที่แรกคือวัดวรนาถบรรพต(เขากบ) เพื่อไปดูวิวของจังหวัดนครสวรรค์และไหวสิ่งศักดิ์สิทธ์บนนั้น ซึ่งจุดชมวิวของวัดเขากบเป็นที่นิยมอย่างมากของนักท่องเที่ยวที่มาที่เมืองนี้ เพราะสามารถเห็นวิวของทั้งตัวเมืองได้ และก่อนที่จะลงจากเขานี้มาพวกเราลืมไม่ได้ที่จะเข้าไปกราบไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ซึ่งเป็นศาลคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดนครสวรรค์นี้ หน้าที่ของมัคคุเทศก์จำเป็นได้เริ่มขึ้น ซึ่งฉันจะต้องสอนวิธีการกราบไหว้ให้กับเพื่อนผู้ร่วมเดินทาง แม้จะดูท่าทางเป็นแค่มือสมัครเล่นแต่การไหว้ของเพื่อนคนนี้ก็สวยอย่าบอกใครเชียว
เสร็จจากการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแล้ว ก็เป็นเวลาของพยาธิในท้องของพวกเราเรียกร้องบ้างแล้ว ดังนั้นฉันจึงพาไปร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังของที่นี้ เพราะเมืองนี้อาหารปลาทุกอย่างอร่อยสุดๆ เราจึงไปกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลากรายกัน โชคดีอีกแล้วตอนที่เราไปถึงเพิ่งจะเที่ยง คนในร้านยังไม่เยอะ ไปถึงก็สั่งๆแบบทีเดียว 4-5 ชามกันไปเลย เพราะถ้ามาสั่งทีหลังจะไม่ต่อเนื่องกัน ร้านนี้คนเขาเยอะจริงๆเราเลยต้องใช้ไม้นี้ และพลาดไม่ได้ที่จะซื้อลูกชิ้นปลากรายแท้กลับบ้านไป 1กิโลกรัม ราคา 200 บาท เอาไปเป็นของฝากที่บ้าน
บอกตามตรงว่าวันนี้ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับการเที่ยวครั้งนี้มาก หลายๆคนอาจจะคิดว่าแปลกที่เด็กในพื้นที่จะมาตื้นเต้นทำไมกับการท่องเที่ยวในตัวจังหวัดบ้านเกิดของตนเอง แต่ที่ฉันรู้สึกตื่นเต้นและดีใจคือ ฉันจะได้เป็นผู้นำเสนอสิ่งดีๆที่ฉันภาคภูมิใจในบ้านเกิดให้กับบุคคลภายนอก ให้มารู้จักกับมันให้มากขึ้นแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นๆก็ตาม ระฆังวัดดังขึ้นบอกว่าเวลา ห้าโมงเช้า พวกเราออกเดินทางไปยังที่แรกคือวัดวรนาถบรรพต(เขากบ) เพื่อไปดูวิวของจังหวัดนครสวรรค์และไหวสิ่งศักดิ์สิทธ์บนนั้น ซึ่งจุดชมวิวของวัดเขากบเป็นที่นิยมอย่างมากของนักท่องเที่ยวที่มาที่เมืองนี้ เพราะสามารถเห็นวิวของทั้งตัวเมืองได้ และก่อนที่จะลงจากเขานี้มาพวกเราลืมไม่ได้ที่จะเข้าไปกราบไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ซึ่งเป็นศาลคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดนครสวรรค์นี้ หน้าที่ของมัคคุเทศก์จำเป็นได้เริ่มขึ้น ซึ่งฉันจะต้องสอนวิธีการกราบไหว้ให้กับเพื่อนผู้ร่วมเดินทาง แม้จะดูท่าทางเป็นแค่มือสมัครเล่นแต่การไหว้ของเพื่อนคนนี้ก็สวยอย่าบอกใครเชียว
เสร็จจากการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแล้ว ก็เป็นเวลาของพยาธิในท้องของพวกเราเรียกร้องบ้างแล้ว ดังนั้นฉันจึงพาไปร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังของที่นี้ เพราะเมืองนี้อาหารปลาทุกอย่างอร่อยสุดๆ เราจึงไปกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลากรายกัน โชคดีอีกแล้วตอนที่เราไปถึงเพิ่งจะเที่ยง คนในร้านยังไม่เยอะ ไปถึงก็สั่งๆแบบทีเดียว 4-5 ชามกันไปเลย เพราะถ้ามาสั่งทีหลังจะไม่ต่อเนื่องกัน ร้านนี้คนเขาเยอะจริงๆเราเลยต้องใช้ไม้นี้ และพลาดไม่ได้ที่จะซื้อลูกชิ้นปลากรายแท้กลับบ้านไป 1กิโลกรัม ราคา 200 บาท เอาไปเป็นของฝากที่บ้าน
ต่อจากนั้น สิ่งที่พลาดไม่ได้อีกอย่างเมื่อเราไปสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแล้ว ก็อย่าลืมไปสักการะศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม ให้เป็นสิริมงคลกับช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วย การเดินทางก็ง่ายๆ เพียงแค่นั่งเรือข้ามฟากจากทางตัวตลาดไปอีกด้านหนึ่ง ค่าโดยสารก็ถูกแสนถูก เพียงคนละ 2 บาททำเอาเพื่อนต่างชาติของฉันถึงกับตกใจในราคาที่ถูกพร้อมกับความไม่มั่นใจ
ว่าเรือไม้ลำยาวติดเครื่องยนต์ลำเล็กๆนี้จะพาคนจำนวนเกือบสิบ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างปลอดภัยได้ ซึ่งถือว่านี้ก็เป็นครั้งแรกของฉันที่ได้มาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ และจุดที่เรานั่งเรือข้ามไปยังศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม ก็เป็นจุดชมวิวของแม่น้ำเจ้าพระยาที่สีของแม่น้ำเป็นสองสี คือแม่น้ำปิง วัง และ แม่น้ำยม น่าน ไหลมาบรรจบกันอย่างสวยงาม เห็นเป็นสีน้ำตาล และเขียวดูแปลกตาทำให้เพื่อนถึงกับอุทานออกมาและอยากที่จะเก็บภาพแม่น้ำสองสีนี้ไว้เป็นที่ระลึกด้วย
ว่าเรือไม้ลำยาวติดเครื่องยนต์ลำเล็กๆนี้จะพาคนจำนวนเกือบสิบ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างปลอดภัยได้ ซึ่งถือว่านี้ก็เป็นครั้งแรกของฉันที่ได้มาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ และจุดที่เรานั่งเรือข้ามไปยังศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม ก็เป็นจุดชมวิวของแม่น้ำเจ้าพระยาที่สีของแม่น้ำเป็นสองสี คือแม่น้ำปิง วัง และ แม่น้ำยม น่าน ไหลมาบรรจบกันอย่างสวยงาม เห็นเป็นสีน้ำตาล และเขียวดูแปลกตาทำให้เพื่อนถึงกับอุทานออกมาและอยากที่จะเก็บภาพแม่น้ำสองสีนี้ไว้เป็นที่ระลึกด้วย
เมื่อมาถึงศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม พวกเราก็ได้เข้าไปสักการะขอพร โดยการไหว้จะแตกต่างไปจากวัดไทยเพราะเขาจะมีวิธีไหว้ว่าควรจะไหว้จากจุดไหนก่อน และค่อยๆไปจุดต่อไป การมาครั้งนี้ทำเอาฉันและเพื่อนถึงกับงงไปตามๆกัน เดินมั่วกันไปมา แต่ยังดีที่มีคุณตาคุณยายที่ดูแลศาลเจ้านี้คอยบอกตลอดเวลา และรวมถึงวิธีถือธูปด้วย เพราะในมือของเราจะถือธูปจำนวนถึง 36 ดอกแล้วลองคิดดูสิว่าควันของมันจะมากขนาดไหน ทำเอาฉันกับเพื่อนน้ำตาไหลร้องไห้กันไปตามๆกัน โดยวิธีที่ถูกคือต้องถือธูปไว้เหนือหัวตลอดเพื่อให้ควันของธูปไม่ลอยมาเข้าตาของเรา
ถึงเวลาบ่ายคล้อย แดดร่มลมตก ฉันกับเพื่อนได้เดินทางไปยังอุทยานสวรรค์หรือที่ชาวนครสวรรค์เรียกว่า “หนองสมบุญ” ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางตัวเมือง มีเนื้อที่ 314 ไร่ มีหนองน้ำขนาดใหญ่ ที่ๆสำหรับวิ่งออกกำลังกาย ลานกีฬา สนามเด็กเล่น เรือถีบ และลานเอนกประสงค์ที่ในวันธรรมดาจะใช้สำหรับเต้นแอโรบิค แต่ในวันนี้ลานบริเวณนั้นได้ถูกเนรมิตให้กลายเป็นเวทีการแสดงขนาดใหญ่สำหรับไว้โชว์การแสดงต่างๆ พวกเราได้เดินเล่นกันไปรอบๆบริเวณนั้น และพักนั่งบนสะพานเพื่อให้อาหารปลา ปลาของที่นี้มีจำนวนมากและขนาดใหญ่ มีทั้งปลาสวายเผือกและปลาดุกยักษ์มากมาย ฉันยังแอบสงสัยว่าถ้ามีคนตกลงไปจะเป็นไรไหม และเพื่อนของฉันก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
ถึงเวลาบ่ายคล้อย แดดร่มลมตก ฉันกับเพื่อนได้เดินทางไปยังอุทยานสวรรค์หรือที่ชาวนครสวรรค์เรียกว่า “หนองสมบุญ” ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางตัวเมือง มีเนื้อที่ 314 ไร่ มีหนองน้ำขนาดใหญ่ ที่ๆสำหรับวิ่งออกกำลังกาย ลานกีฬา สนามเด็กเล่น เรือถีบ และลานเอนกประสงค์ที่ในวันธรรมดาจะใช้สำหรับเต้นแอโรบิค แต่ในวันนี้ลานบริเวณนั้นได้ถูกเนรมิตให้กลายเป็นเวทีการแสดงขนาดใหญ่สำหรับไว้โชว์การแสดงต่างๆ พวกเราได้เดินเล่นกันไปรอบๆบริเวณนั้น และพักนั่งบนสะพานเพื่อให้อาหารปลา ปลาของที่นี้มีจำนวนมากและขนาดใหญ่ มีทั้งปลาสวายเผือกและปลาดุกยักษ์มากมาย ฉันยังแอบสงสัยว่าถ้ามีคนตกลงไปจะเป็นไรไหม และเพื่อนของฉันก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
ก่อนออกจากหนองสมบุญฉันและเพื่อนได้เดินผ่านสนามตะกร้อ เพื่อนชาวต่างชาติถึงกลับหยุดยืนดูด้วยความสนใจ ว่าทำไมทุกคนในวงตะกร้อถึงต้องพยายามเตะลูกตะกร้อให้ข้ามห่วงที่อยู่ตรงกลางวง ซึ่งกว่ามัคคุเทศก์คนนี้จะอธิบายให้เพื่อนต่างชาติเข้าใจได้ก็ใช้เวลาอยู่นานเหมือนกัน และฉันยังถามเขาว่าอยากไปลองร่วมวงกับพวกเขาไหม เพื่อนของฉันตอบกลับมาทันทีว่า “NO, I only wanna see” ตอนนี้เวลาก็เกือบจะหกโมงเย็น พวกเราจึงกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อนเก็บแรงไว้ลุยงานการแสดงในคืนนี้กัน เป็นเวลาเกือบสามทุ่มที่พวกเราออกเดินทางกันอีกครั้งหลังจากพักผ่อนเอาแรงกันพอสมควร พวกเรานั่งรถเข้าไปยังใจกลางเมือง โดยที่บรรยากาศโดยรอบมีแต่แสงสีแดงที่ออกมาจากโคมไฟ ถึงแม้ว่าการจราจรจะติดขัดเพราะมีคนจำนวนมากคิดอย่างเดียวกับที่พวกเราคิดคืออยากเข้าไปร่วมงานเทศกาลนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเรารู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด กลับทำให้พวกเราได้ค่อยๆชื่นชมบรรยากาศสองข้างทาง เมื่อเรามาถึงจุดจัดงานพวกเราก็เดินเข้าไปในวัดกันก่อนเพื่อจะได้เล่นเครื่องเล่นต่างๆในวัด ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นงานวัดในเทศกาลตรุษจีนก็ว่าได้ทั้งฉันและเพื่อนต่างตื่นเต้นแต่ที่ดูอาการออกนอกหน้าจะเป็นฉันซะมากกว่า เพราะฉันมีความหลังฝังใจอยู่กับรถบั๊ม คือชอบมากๆมีงานวัดทีไรไปเล่นทุกที แต่คราวนี้โชคคงจะไม่เข้าข้าง(ฉัน)ซะแล้ว เพราะมีคนจำนวนมากรอคิวเพื่อเข้าไปเล่น และเพื่อจะไปให้ทันกับการแสดงต่างๆ เราเลยต้องไปเล่นปาลูกโป้งกันแทน
หลังจากเดินเล่นในงานวัดสักพักเราก็มาดูการแสดง และขบวนแห่ต่างๆที่ทยอยกันออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเชิดสิงโตกวางตุ้ง ปักกิ่ง ไหหลำ การแสดงกายกรรมจีน ปีนเสาไม้ไผ่ โชว์พุ ขบวนแห่นางฟ้าและเจ้าแม่กวนอิม การแสดงงิ้วต่างๆ ทุกเวทีต่างปะทะเสียงและแสงสีแข่งกันเพื่อโชว์ความเป็นสุดยอดของการแสดงจีนโดยผู้เข้าชมไม่เสียเงินเลยสักบาทเดียว
พวกเราแทรกตัวเข้าไปยังเวทีต่างๆและบางทีก็ไหลไปกับฝูงผู้คนที่กำลังเคลื่อนจากเวทีหนึ่งไปยังอีกเวทีหนึ่งทำให้พวกเราไม่สามารถเก็บภาพนั้นไว้ได้ ทำได้แต่เพียงเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในจินตนาการเป็นความทรงจำที่ดี กว่าพวกเราจะออกจากจุดการแสดงได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยเกือบเป็นลมไปตามๆกันและกว่าพวกเราจะได้พักผ่อนก็เกือบจะตีหนึ่งแล้ว ฉันคิดว่าคืนนี้เพื่อนร่วมเดินทางของฉันคงหลับสบาย หัวถึงหมอนก็คงหลับเป็นแน่ เพราะฉันก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นสำหรับการจากลาที่ไม่ตลอดกาลของฉัน แต่อาจจะเป็นตลอดกาลของเพื่อนชาวต่างชาติ
ที่ได้มามีความทรงจำที่ดีร่วมกัน ก่อนฉันจะออกเดินทางเพื่อกลับไปเป็นนักศึกษาดังเดิม ได้ทำหน้าที่ของมัคคุเทศก์ที่ดีเป็นครั้งสุดท้ายโดยการนำเสนอขนมที่มีชื่ออีกอย่างของจังหวัดนี้คือ “ขนมโมจิไส้ถั่วไข่เค็ม” เจ้าอร่อย “จันทร์สุวรรณ”ที่ฉันภูมิใจเสนอเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับทำให้เพื่อนต่างชาติ ทำหน้างง เพราะโมจิที่บ้านของเขาต่างจากของเรามาก แต่ฉันก็ได้รับคำตอบหลังจากที่เพื่อนต่างชาติได้ลิ้มลองรสชาติ เขาบอกว่าโมจินครสวรรค์อร่อย และจะไม่ลืมประสบการณ์นี้เลยถ้าเขามีโอกาส เขาจะกลับมาที่นี้อีกครั้ง และฉันก็รู้สึกยินดีเสมอถ้าเขาจะกลับมาและต้องการมัคคุเทศก์จำเป็นอย่างฉัน
ที่ได้มามีความทรงจำที่ดีร่วมกัน ก่อนฉันจะออกเดินทางเพื่อกลับไปเป็นนักศึกษาดังเดิม ได้ทำหน้าที่ของมัคคุเทศก์ที่ดีเป็นครั้งสุดท้ายโดยการนำเสนอขนมที่มีชื่ออีกอย่างของจังหวัดนี้คือ “ขนมโมจิไส้ถั่วไข่เค็ม” เจ้าอร่อย “จันทร์สุวรรณ”ที่ฉันภูมิใจเสนอเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับทำให้เพื่อนต่างชาติ ทำหน้างง เพราะโมจิที่บ้านของเขาต่างจากของเรามาก แต่ฉันก็ได้รับคำตอบหลังจากที่เพื่อนต่างชาติได้ลิ้มลองรสชาติ เขาบอกว่าโมจินครสวรรค์อร่อย และจะไม่ลืมประสบการณ์นี้เลยถ้าเขามีโอกาส เขาจะกลับมาที่นี้อีกครั้ง และฉันก็รู้สึกยินดีเสมอถ้าเขาจะกลับมาและต้องการมัคคุเทศก์จำเป็นอย่างฉัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น