บทความประเภทคำแนะนำ ชนิดของเครื่องชงกาแฟ 1. การชงแบบ French Press เป็นวิธีการชงที่มีต้นกำเนิดจากประเทศฝรั่งเศส การชงแบบนี้เราเห็นได้ง่ายกว่าการชงแบบแรก วิธีชงก็ง่าย แค่เลือกกาแฟที่ต้องการใส่ลงในแก้วชง จากเทน้ำร้อนใส่ในแก้วที่มีก้าน รอประมาณ 4-5 นาที ก็กดก้านดันกากกาแฟให้ไปอยู่ก้นแก้ว รินกาแฟเติมนม ครีมหรือน้ำตาลตามชอบ วิธีนี้เป็นการชงที่สะดวกสบาย ง่าย ไม่เปลืองไฟฟ้า แต่เหมาะสำหรับการดื่มแค่ 1-2 คนเท่านั้น คำแนะนำในการชง อุ่นอุปกรณ์ด้วยน้ำร้อน ตวงกาแฟบดประมาณ 10 - 12 กรัม ( ต่อกาแฟ 1 ถ้วย ) ลงในภาชนะ เติมน้ำร้อนเกือบเดือดประมาณ 200 - 240 มล. ลงบนกาแฟและคน ทิ้งไว้ประมาณ 4 นาที จากนั้นค่อย ๆ กดก้านกรองของภาชนะจนสุด รินดื่มได้ทันที 2. การชงกาแฟแบบ Drip ซึ่งแยกได้เป็นแบบที่ใช้เครื่องกับแบบที่ไม่ใช้เครื่อง วิธีนี้จะนำกาแฟที่คั่วบดเรียบร้อยแล้วมาเทใส่กระดาษกรอง แล้วปล่อยให้น้ำร้อนไหลผ่านกาแฟแล้วค่อยๆ หยดลงมาสู่โถรับกาแฟด้านล่าง จากนั้นจึงนำไปเสิร์ฟวิธีนี้จะเห็นได้บ่อยตามร้านอาหารที่มีเมนูกาแฟร้อนให้ทานตบ หรือเวลาไปสัมมนาตามโรงแรม ข้อดีคือสะดวก เหมาะสำหรับการเสิร์ฟกับปริมาณคนมากๆ แต่ก็มีข้อเสียคือ จะได้กาแฟที่มีความเข้มน้อย กลิ่นและความมันจะถูกกระดาษกรองดูดซึมไว้จนเสียรสชาติไป คำแนะนำในการชง สำหรับกาแฟ 1 ถ้วย : ตวงกาแฟบดประมาณ 10 - 12 กรัม ลงในกรวยกรอง หรือกระดาษกรอง เติมน้ำสะอาดเย็นประมาณ 200 - 240 มล. ลงในกระบอกน้ำหลังเครื่อง เปิดสวิทซ์และรอให้น้ำหยดผ่านกาแฟจนหมด รินดื่มได้ทันที (ไม่ควรตั้งเหยือกกาแฟไว้บนจานอุ่น นานเกิน 20 นาที) 3.การชงกาแฟโดยใช้เครื่อง Espresso Machine วิธีนี้เป็นวิธีที่ร้านกาแฟนิยมใช้มากที่สุด เป็นการใช้ทั้งน้ำและไออัดผ่านเมล็ดกาแฟที่คั่วบดแล้วอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้กาแฟเอสเพรสโซ่สีทองที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วร้าน เครื่องชงกาแฟแบบนี้มักมาพร้อมกับที่อุ่นนมและทำฟองนม ข้อดีคือถ่ายทอดรสชาติและจุดเด่นของกาแฟแต่ละชนิดออกมาได้ดีที่สุด แต่ก็มีข้อเสียก็คือราคาสูงมากๆ เริ่มต้นที่หลักหมื่นและอาจจะไปจบที่หลักล้านก็ได้... คำแนะนำในการชง ตวงกาแฟบดละเอียดประมาณ 7 กรัม สำหรับการทำหัวกาแฟเข้มข้น 1 ออนซ์ โดยใช้เวลาสกัดประมาณ 18 - 25 วินาที | |
|
ยุคนี้คนมักกินจุบกินจิบเพราะรู้สึกว่า
ตัวเองหิวอยู่บ่อย ๆ พฤติกรรมที่ว่า
เกิดจากอะไร ลองมาสังเกตตัวเองแล้ว
ปรับเปลี่ยนสักนิดเพื่อสุขภาพที่ดีกว่าไหมค่ะ
เมื่อกินอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมาก
ร่างกายจะผลิตอินซูลินออกมามากเพื่อควบคุม
ระดับน้ำตาลในเลือด และเมื่อระดับน้ำตาลลดลง
อย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกอยากกินโน่นกินนี่ขึ้นมาอีก
ขอแนะนำอาหารที่อุดมด้วยแร่ธาตุและวิตามิน
ที่จะมาช่วยลดพฤติกรรมเหล่านี้
1. ข้าวกล้องและธัญพืชไม่ขัดขาว
อุดมไปด้วยโครเมียมที่ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด
ให้คงที่ มีแมกนีเซียมที่ช่วยปรับระดับอินซูลิน
แถมด้วยวิตามินบีที่จำเป็นต่อระบบเมแทบอลิซึม
2. อาหารทะเล
ลองหันมากินปลา หอย ปลาเล็กปลาน้อยที่มีซีลีเนียม
แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี แร่ธาตุเหล่านี้
ช่วยรักษาสมดุลของสารสื่อประสาท ทำให้ไม่หิวบ่อย
ลองหันมากินปลา หอย ปลาเล็กปลาน้อยที่มีซีลีเนียม
แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี แร่ธาตุเหล่านี้
ช่วยรักษาสมดุลของสารสื่อประสาท ทำให้ไม่หิวบ่อย
3. ถั่ว
ของกินเล่นช่วยให้อารมณ์ดีที่อุดมด้วยวิตามินบี
และแมกนีเซียม ช่วยในการปรับระดับอินซูลิน
และช่วยการทำงานของระบบประสาท
ของกินเล่นช่วยให้อารมณ์ดีที่อุดมด้วยวิตามินบี
และแมกนีเซียม ช่วยในการปรับระดับอินซูลิน
และช่วยการทำงานของระบบประสาท
4. แอ๊ปเปิ้ล
มีเส้นใยอาหารมาก ทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้
และชนิดที่ไม่ละลายน้ำ กินแล้วอยู่ท้อง รสชาติ
ไม่หวานจัด และเป็นผลไม้ที่ดีต่อร่างกายทุกส่วน
มีเส้นใยอาหารมาก ทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้
และชนิดที่ไม่ละลายน้ำ กินแล้วอยู่ท้อง รสชาติ
ไม่หวานจัด และเป็นผลไม้ที่ดีต่อร่างกายทุกส่วน
5. ลูกพรุน
อุดมด้วยโครเมียม กินครั้งละน้อย ๆ
จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้
อุดมด้วยโครเมียม กินครั้งละน้อย ๆ
จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้
6. ลูกเกด
กินเป็นของว่าง ทำให้ไม่คิดถึงขนมขบเคี้ยว
ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญ
พลังงาน ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างช้า ๆ ทำให้ไม่หิวบ่อย
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1142208กินเป็นของว่าง ทำให้ไม่คิดถึงขนมขบเคี้ยว
ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญ
พลังงาน ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างช้า ๆ ทำให้ไม่หิวบ่อย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น